ประเทศไทยยังตั้งรับลมหนาวยาวข้ามเดือน ทว่า สิ่งที่แถมมาคือฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่มาตามนัด ล่าสุดวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความชี้เป้า เราจะย้ายไปอยู่จังหวัดไหนดี ที่ฝุ่นน้อย ภัยพิบัติไม่ค่อยมี และคุณภาพชีวิตยังดี? พร้อมนำข้อมูลแผนที่ฝุ่นจาก GISTDA และมุมมองด้านภัยธรรมชาติมาอธิบายแบบชัดเจน ตรงไปตรงมา
หนีฝุ่น PM2.5
“ภาคใต้” สะอาดที่สุดในประเทศ
ดร.ธรณ์ระบุว่า เมื่อดูจากข้อมูลแผนที่ PM2.5 ของ GISTDA จะเห็นชัดว่าหลายจังหวัดของไทยเผชิญฝุ่นเกินมาตรฐานจำนวนมาก โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และนนทบุรีที่มีตัวเลข 78 วันต่อปีขึ้นไป แต่หากต้องการ “หนีฝุ่นจริงจัง” คำตอบคือ ภาคใต้ตอนล่าง ตั้งแต่ชุมพรลงไป ยังคงปลอดฝุ่นระดับ “น้อยมาก” เมื่อเทียบกับทุกภูมิภาคในประเทศ

ข้อมูลจาก GISTDA ปี 2567 ยังยืนยันแนวโน้มเดียวกัน มากกว่า 25 จังหวัด เจอ PM2.5 เกินมาตรฐานยาวนาน กว่า 4 เดือน อีก 28 จังหวัด เผชิญปัญหาเกินมาตรฐานรวม มากกว่า 3 เดือน ขณะที่หลายพื้นที่ภาคเหนือและอีสานตอนบน มีวันที่ฝุ่นเกินมาตรฐานสูงสุดเกิน 112 วันต่อปี ตั้งแต่เดือนธันวาคม ถึงเมษายนหลายพื้นที่ต้องรับมือฝุ่นต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคกลาง
ดร.ธรณ์ จึงสรุปว่า หากต้องการอากาศดีที่สุด “ภาคใต้” ยังเป็นตัวเลือกที่แข็งแรงที่สุดของไทย
หนีภัยธรรมชาติ
เลือกจังหวัดดี แต่ต้องดู “ความสูง-สภาพพื้นที่” ประกอบ
แม้ภาคใต้จะปลอดฝุ่น แต่ยังต้องพิจารณาความเสี่ยงภัยพิบัติอื่นควบคู่ ดร.ธรณ์ อธิบายเป็นประเด็นดังนี้
สึนามิ– กระทบเฉพาะฝั่งอันดามัน ฝั่งอ่าวไทย แม้เกิดคลื่นก็สูงเพียงระดับหัวเข่า หากจะอยู่ฝั่งอันดามันจริง ควรเลือกพื้นที่สูงกว่าระดับคลื่นเดิมอย่างน้อย 4–5 เมตร เพื่อป้องกันทรัพย์สินเสียหาย
ไต้ฝุ่น– มักเข้าเฉพาะฝั่งอ่าวไทย แต่สถิติจริง “น้อยมาก” ในชีวิตของ ดร.ธรณ์ พายุไต้ฝุ่นแรงเคยเกิดเพียง “พายุเกย์” เท่านั้น 10 ปีหลังสุด พายุหนักที่สุดในอ่าวไทยยังเป็นเพียงพายุโซนร้อน “ปาบึก” จึงถือว่าเป็นความเสี่ยงระดับต่ำมาก แต่ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่กัดเซาะชายฝั่งถาวร
น้ำท่วม/ดินถล่ม– เกิดได้ทุกจังหวัดในไทย และมีแนวโน้มหนักขึ้นตามภาวะโลกร้อน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อบ้านควรศึกษา “สถิติย้อนหลังอย่างน้อย 30 ปี” เลือกที่ดินสูงกว่าจุดที่เคยท่วม 4–5 เมตร และประเมินเส้นทางอพยพช่วงฉุกเฉิน
“ภัยธรรมชาติยุคใหม่...ไม่สามารถเลี่ยงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราลดความเสี่ยงได้ด้วยการเลือกทำเลอย่างรอบด้าน”
— ดร.ธรณ์ ย้ำ
กฎหมายอากาศสะอาด ความหวังที่ยังต้องรอ
ดร.ธรณ์ ยังกล่าวถึงความล่าช้าของ “พ.ร.บ.อากาศสะอาด”ที่ยังไม่ผ่านสภา และต้องรอขั้นตอนกฎหมายลูกอีกหลายชั้นกว่าจะบังคับใช้ ดร.ธรณ์ถึงกับเปรยว่า “ชีวิตผมอาจยืนยาวไม่พอ ฝากไว้ให้ลูกก็แล้วกัน”
ประเด็นนี้ชี้ให้เห็นชัดว่า การรอความคุ้มครองจากกฎหมายอาจไม่ทันต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน จึงยิ่งต้องพึ่งการปกป้องสุขภาพระดับครัวเรือนมากขึ้น เช่น หน้ากาก เครื่องฟอกอากาศ และการติดตามค่าฝุ่นประจำวันผ่านแพลตฟอร์มของ GISTDA

ท้ายที่สุด การเลือกจังหวัด…ต้องมากกว่าเรื่องฝุ่น
เมื่อจัดการทุกปัจจัยสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเหลือเงื่อนไขเฉพาะบุคคล เช่น ค่าครองชีพ การจราจร โรงพยาบาล โรงเรียน สนามบิน และไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ดร.ธรณ์ยอมรับว่า หากเป็นตัวเขาเอง “เกิดเอกมัย ต้องตายเอกมัย” แต่ก็ใช้วิธีเลี่ยงฝุ่นด้วยการเดินทางตามฤดูกาล เช่น ไปเหนือช่วงอากาศดี และกลับกรุงเทพฯ เมื่อภาคเหนือเริ่มมีฝุ่น
หากต้องเลือกจริง ดร.ธรณ์มองว่า “ตรัง” และ “กระบี่” เป็นจังหวัดสมดุลทั้งอากาศดี ธรรมชาติสวย และมีสนามบิน แต่ก็ต้องหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันและเลือกทำเลสูงขึ้น
โลกกำลังร้อน ฝุ่นกำลังหนา การย้ายที่อยู่คือการวางแผนระยะยาว
ข้อมูลจากทั้งนักวิชาการ และ GISTDA สะท้อนร่วมกันว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญยุคที่ “ฝุ่น-ฝน-ภัยพิบัติ” เป็นวัฏจักรที่ทวีความถี่ขึ้น การเลือกทำเลอยู่อาศัยจึงไม่ใช่เรื่องความชอบอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องความปลอดภัย สุขภาพ และคุณภาพชีวิตในระยะยาว
คำถามจึงไม่ได้มีแค่ว่า “จังหวัดไหนดี?” แต่เป็น...เราพร้อมแค่ไหนในการใช้ชีวิตในยุคที่สภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป



