อัปเดตสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ วันที่ 28 พ.ย. 2568 หลายพื้นที่ยังคงเดือดร้อนหนัก ขณะที่บางจังหวัดสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ตั้งแต่ช่วงเวลา 18.00 น.เมื่อวานนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ. ได้สรุปสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ว่า ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานีนครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานียะลา นราธิวาส มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 105 อำเภอ 718 ตำบล 5,361 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,099,877 ครัวเรือน 3,000,209 คน นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 10 ปี
นักวิชาการด้านถ้ำวิทยาชี้ภาคใต้มีเงื่อนไขเกิด “หลุมยุบ” หลังฝนหนักต่อเนื่อง
นายชัยพร ศิริพรไพบูลย์ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการแหล่งอนุรักษ์ธรณีด้านถ้ำวิทยา ผู้มีประสบการณ์ทำงานด้านทรัพยากรธรณีและน้ำบาดาลในหลายหน่วยงานของรัฐ ออกมาเตือนว่า “เหตุการณ์รอง” หลังน้ำลดอาจต้องจับตาไม่แพ้สถานการณ์น้ำท่วมเบื้องหน้า โดยระบุว่าภายใต้ฝนหนัก–น้ำท่วมภาคใต้ตอนล่างขณะนี้ อาจเกิดภัยพิบัติทางธรณีวิทยา (GEOHAZARD) ตามมาได้ โดยเฉพาะ “หลุมยุบหลังน้ำลด” ที่พบประจำในพื้นที่เทือกเขาหินปูน

ชัยพร ระบุว่าจังหวัดที่มีหินปูนจำนวนมาก เช่น กระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี โดยเฉพาะใน สตูล ที่อำเภอละงู อำเภอทุ่งหว้า และอำเภอควนโดน ที่มีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ
เนื่องจากโครงสร้างใต้ดินในภูมิประเทศแบบคาสต์ (Karst) มักมีโพรง ถ้ำหินปูนฝังตัวอยู่ ซึ่งเมื่อเกิดฝนตกหนักเกิน 100 มิลลิเมตรต่อวันติดต่อกันหลายวัน จะเพิ่มโอกาสให้เกิดการพังทลายของโพรงใต้ดินจนเกิดหลุมยุบได้ง่าย โดยขนาดหลุมยุบที่อาจจะเกิด คาดว่าจะเป็นหลุมยุบขนาดเล็กถึงปานกลาง เส้นผ่านศูนย์กลางของหลุมยุบประมาณ 5-15 เมตร

พื้นที่เสี่ยงคือ Polje ที่ราบหุบเขาหลุมยุบ
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า พื้นที่ที่ควรเฝ้าระวังคือ ที่ราบหุบเขาหลุมยุบ (Polje) ซึ่งเป็นพื้นที่ราบที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาหินปูน และมีโพรงหรือถ้ำซ่อนอยู่ใต้ดิน โดยมากจะเป็นท้องนา สวนยาง หรือชุมชนที่ตั้งอยู่ในที่ราบเดิมซึ่งเคยมีประวัติการเกิดหลุมยุบมาก่อน ในบางพื้นที่อาจพบตามเนิน (ควน) แต่มีจำนวนน้อยกว่า
เขาย้ำว่า “หากฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน พื้นที่ Polje จะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงน้ำใต้ดินเร็วมาก ทำให้มีโอกาสเกิดหลุมยุบได้ โดยเฉพาะหลังน้ำลด”

อ้างอิงกรณีศึกษาและข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญในการเกิดหลุมยุบ
กรณีที่ 1 – ก่อนการเกิดสึนามิ ปี 2547 ในพื้นที่ราบหุบเขาหลุมยุบดังกล่าว หากมีฝนตกหนักเกิน 100 มิลลิเมตรต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน จะมีโอกาสเกิดหลุมยุบได้ง่าย
กรณีที่ 2 – ในช่วงที่มีการเกิดสึนามิ ปี 2547 ในปีนั้น วันที่ 26 ธันวาคม 2547 ได้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ 9.2–9.3 Mw ที่หัวเกาะสุมาตราเหนือ ประเทศอินโดนีเซีย ทำให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตผู้คนไม่น้อยกว่า 200,000 คน พร้อมความเสียหายต่อทรัพย์สินจำนวนมหาศาล จากผลการสำรวจของผู้เขียน ระหว่างวันที่ 26–28 ธันวาคม 2547 พบว่ามีหลุมยุบแบบพังทลายฉับพลัน (Collapsed sinkholes) จำนวนมาก ไม่น้อยกว่า 20 แห่ง ในจังหวัดสตูล กระบี่ ตรัง และนครศรีธรรมราช
กรณีที่ 3 – หลังการเกิดสึนามิปี 2547 การเกิดหลุมยุบมีลักษณะคล้ายกรณีที่เกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องหลายวัน แต่จำนวนลดลง ทั้งนี้ คาดว่าโพรงหรือถ้ำใต้ดินส่วนใหญ่พังทลายและเกิดหลุมยุบไปแล้วในช่วงเหตุการณ์สึนามิปี 2547

ความเสี่ยงหลังน้ำลด 1 สัปดาห์
จากสถานการณ์ฝนตกหนักผิดปกติในปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า ช่วงเสี่ยงที่สุดคือ 1 สัปดาห์หลังน้ำเริ่มลด เพราะระดับน้ำใต้ดินจะลดลงอย่างรวดเร็วกลับสู่ระดับปกติ ซึ่งอาจทำให้แรงดันของน้ำใต้ดินเปลี่ยนแปลงกะทันหันและไปกระทบโพรง–ถ้ำใต้ดิน จนอาจเกิดหลุมยุบได้
หลุมยุบที่คาดว่าจะเกิดเป็น หลุมยุบขนาดเล็กถึงปานกลาง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5–15 เมตร โดยจังหวัดที่ควรเฝ้าระวังมากที่สุด ได้แก่ สตูล โดยเฉพาะอำเภอ ละงู ทุ่งหว้า และควนโดน
ทั้งนี้ ขอย้ำว่าไม่ใช่การคาดการณ์เพื่อให้เกิดความตื่นตระหนก แต่เป็นข้อมูลเชิงวิชาการเพื่อการเฝ้าระวังตามหลักภูมิประเทศและประวัติศาสตร์ทางธรณีในพื้นที่
มิติสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
บทเรียนจากฝนหนัก-น้ำท่วม-หลุมยุบ
เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ และความเสี่ยงเกิดหลุมยุบหลังน้ำลดครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติมักเกิดซ้อนกัน ไม่ได้เกิดเป็นเหตุการณ์เดี่ยว ขณะที่ภูมิประเทศแบบคาสต์ในหลายจังหวัดภาคใต้มีความละเอียดอ่อนต่อการเปลี่ยนแปลงน้ำฝนและน้ำใต้ดินมากกว่าพื้นที่ทั่วไป จึงจำเป็นต้องมีระบบเตือนภัยและการวางผังเมืองที่คำนึงถึงลักษณะธรณีวิทยาอย่างจริงจัง
การเตรียมการรับมือ ตั้งแต่การตรวจสอบพื้นที่เสี่ยง ไปจนถึงแผนกู้ภัยหลังน้ำลด สอดคล้องกับหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainability) และเป้าหมาย SDGs โดยเฉพาะ SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน และ SDG 13: การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเน้นการลดความเสี่ยงภัยพิบัติและการวางระบบรองรับผลกระทบระยะยาว เพื่อให้ชุมชนในพื้นที่เปราะบางสามารถฟื้นตัวได้อย่างปลอดภัย ไม่ตื่นตระหนก แต่ตระหนักรู้และเตรียมพร้อมอย่างเหมาะสม



