รายงาน Climate Risk Index 2026 ขององค์กร Germanwatch ส่งสัญญาณเตือนชัดเจนว่า “วิกฤตสภาพภูมิอากาศ” ไม่ได้เป็นแนวโน้มในอนาคตอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นความเสี่ยงระดับชาติของไทยที่เห็นได้ในเวลาอันสั้น หลังพบว่าไทยไต่ระดับความเสี่ยงแบบก้าวกระโดดจากอันดับที่ 72 ในปี 2022 มาสู่อันดับที่ 17 ในปี 2024 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงอันดับที่เร็วที่สุดในภูมิภาค พร้อมสะท้อนถึงความเปราะบางต่อเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วอย่างชัดเจน ส่วนความเสี่ยงระยะยาว 30 ปี ไทยอยู่อันดับที่ 22 จากอันดับที่ 30 ในปี 2022 แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงของไทยเพิ่มสูงขึ้น

รายงานนี้วิเคราะห์เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลกตลอดช่วง 30 ปี (1995–2024) โดยพิจารณาจากความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนประชากรที่ได้รับผลกระทบ พบข้อมูลสำคัญว่าโลกได้เผชิญภัยพิบัติกว่า 9,700 เหตุการณ์ ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 832,000 ราย และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมกว่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ประเทศไทย: สัญญาณชัดจากเหตุการณ์ “ฝน 300 ปีหาดใหญ่”
หนึ่งในเหตุการณ์ที่ผลักดันอันดับความเสี่ยงของไทยให้พุ่งขึ้นคือ ฝนตกหนักในหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่มากถึง 350 มิลลิเมตรต่อวัน ซึ่งเป็นค่าสูงที่สุดในรอบ300ปี นักวิชาการด้านอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ปริมาณฝนระดับนี้ไม่เพียงสร้างอุทกภัยครั้งใหญ่ แต่ยังบ่งชี้ “การเปลี่ยนรูปแบบฝน” อันเป็นผลพวงจาก Climate Change โดยตรง
“นี่เป็นตัวอย่างเหตุการณ์สุดขั้วที่บ่งบอกว่าไทยไม่ได้ปลอดภัยอีกต่อไป”
— ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าว
พร้อมกันนี้อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมชี้ว่าภัยพิบัติล่าสุดที่เกิดในเมืองเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ ตอกย้ำว่าระบบโครงสร้างพื้นฐานไทยยังไม่พร้อมรับสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น นอกจากน้ำท่วม ไทยยังมีความเสี่ยงเพิ่มในด้านคลื่นความร้อนที่ทวีความรุนแรง และฝนสั้น–หนัก เรนบอมบ์ที่เกิดเฉียบพลันมากขึ้นในหลายจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่เมืองที่เกิด Urban Flood เกือบทันทีที่ฝนตกหนัก

ภาพรวมโลก 3 ทศวรรษของความถี่ภัยพิบัติที่พุ่งขึ้นแบบทวีคูณ
รายงาน CRI ระบุว่า
◦ คลื่นความร้อนและพายุ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุดรวมกัน 66%
◦ น้ำท่วม สร้างผลกระทบต่อประชากรมากที่สุด 48%
◦ พายุ ทำความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงสุด 2.64 ล้านล้านดอลลาร์
สถิติเหล่านี้สะท้อนภาพว่าภูมิอากาศโลกกำลัง “หลุดกรอบเดิม” แม้เอลนีโญในปี 2024 จะทำให้บางเหตุการณ์รุนแรงขึ้น แต่ นักวิทยาศาสตร์ด้าน Attribution Science ยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มนุษย์เป็นสาเหตุ มีบทบาท “มากกว่าเอลนีโญ” ในการผลักดันให้เหตุการณ์รุนแรงกว่าที่เคยเป็น

อาเซียน: กลายเป็นศูนย์กลางความเสี่ยงใหม่ของโลก
ปี 2024 ถือเป็นปีที่ภูมิภาคอาเซียนถูก Spotlight อย่างหนักในรายงาน CRI
• ฟิลิปปินส์ อันดับ 7 — เจอพายุ 6 ลูก ภายใน 30 วัน
• เมียนมา อันดับ 9 — มีผู้เสียชีวิตกว่า 800 ราย จากไต้ฝุ่นยากิ
• เวียดนาม อันดับ 10 — เจอพายุลม 280 กม./ชม. สร้างความเสียหายกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์
• ไทย อันดับ 17 — ความเสี่ยงเพิ่มเร็วที่สุดในภูมิภาค
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่าอาเซียนมี “ความเปราะบางเชิงระบบ” อันมีปัจจัยมาจาก
• เศรษฐกิจพึ่งพาเกษตร–ประมง
• เมืองขยายตัวรวดเร็ว
• ชุมชนริมน้ำจำนวนมาก
• ระบบเตือนภัยไม่ทันกับเหตุการณ์สุดขั้วที่เกิดถี่ขึ้น
ผลลัพธ์คือภูมิภาคนี้เริ่มกลายเป็น หนึ่งในพื้นที่เสี่ยงสูงที่สุดในโลกต่อสภาพอากาศสุดขั้ว

ไทยเดินหน้าระบบเตือนภัย–NAP–กฎหมาย Climate Change
เมื่อเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ ไทยจึงเริ่มปรับโหมดรับมืออย่างจริงจัง อาทิ
• ปรับระบบเตือนภัยพิบัติตามเป้าหมาย Global Goal on Adaptation (GGA)
• เดินหน้าแผนปรับตัวต่อ Climate Change แห่งชาติ (NAP) กับ 6 ภาคส่วน
• พัฒนาดัชนี CRI เวอร์ชันไทยรายจังหวัด
• เร่งผลักดัน พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
• ตั้งเป้า Net Zero ปี 2050 เร็วขึ้นจากที่ตั้งไว้ในปี 2065 (15 ปี)
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนว่ารัฐเริ่มมอง Climate Change ไม่ใช่ปัญหาสิ่งแวดล้อมธรรมดา แต่เป็นปัญหาความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ–สังคม–ทรัพยากรของประเทศ

ภาพเตือนว่าไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “ยุคสภาพอากาศสุดขั้วอย่างเต็มรูปแบบ”
เหตุการณ์น้ำท่วม 300 ปีหาดใหญ่ พายุรุนแรงในอาเซียน คลื่นความร้อนที่ยาวขึ้นทุกปี ฝนสั้น–หนักที่เกินแบบจำลองเดิม รวมถึงสถิติใหม่จากรายงาน Climate Risk Index 2026 ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณว่าไทยต้องเร่งปรับตัวเชิงระบบ ขยายระบบเตือนภัย และสร้างภูมิคุ้มกันให้ทันกับโลกที่กำลังร้อนขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ประสบการณ์ของรัฐบาลจากเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ล่าสุดจะเป็นบทเรียนประเทศไทยว่าไม่สามารถรอให้ภัยพิบัติเกิดก่อนแล้วจึงแก้ไขได้อีกต่อไป



