แม้ว่าสิงคโปร์จะเป็นประเทศเกาะเล็กๆ บนพื้นที่เพียง 734 ตารางกิโลเมตร หรือเล็กกว่ากรุงเทพฯ เกือบครึ่ง แต่สิงคโปร์กลับมีระบบจัดการน้ำที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ประเทศอื่นอาจมองว่าน้ำเป็น “ปัญหา” แต่สิงคโปร์มองน้ำเป็น “ทรัพยากรที่ต้องบริหารอย่างสร้างสรรค์” พร้อมทั้งรับมือกับความเสี่ยงจากฝนตกหนักในช่วงฤดูมรสุมและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นในเขตเมืองชายฝั่ง
ที่ผ่านมาใจกลางเมืองสิงคโปร์เคยเผชิญน้ำท่วมหลายครั้ง การขยายตัวของเมืองทำให้พื้นที่รับน้ำลดลง ขณะที่ปริมาณฝนตลอดปีมีแต่เพิ่มขึ้น สิงคโปร์มองว่า หากยังใช้ “กำแพงกั้นน้ำ” เหมือนประเทศอื่น จะแก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น และยังอาจผลักปัญหาไปให้พื้นที่อื่น เสี่ยงต่อผลเสียหายร้ายแรงหากระดับน้ำสูงเกินกว่าจะควบคุมได้
รัฐบาลสิงคโปร์จึงใช้แนวทางที่แตกต่างออกไปและเปิดตัวโครงการระดับชาติอันเป็นนวัตกรรมใหม่ที่สร้างมาตรฐานระดับโลกด้านการจัดการน้ำ นั่นก็คือ Marina Barrage

Marina Barrage คือ เขื่อนอัจฉริยะที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแทนที่จะไปอยู่ตามหุบเขาไกลๆ อย่างเขื่อนแบบเดิมๆ สิ่งที่ทำให้เขื่อนนี้โดดเด่นคือ ความสามารถในการทำหน้าที่สำคัญ 3 ประการพร้อมกัน ได้แก่
- ป้องกันไม่ให้น้ำทะเลไหลย้อนกลับเข้าเมืองและก่อให้เกิดน้ำท่วม
- กักเก็บและควบคุมน้ำฝนเพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในช่วงฤดูมรสุม
- กักเก็บน้ำจืดไว้ใช้เป็นแหล่งน้ำหลักของประเทศ
การรวมฟังก์ชั่นทั้ง 3 นี้เข้าเป็นโครงสร้างเดียว ทำให้สิงคโปร์ไม่เพียงแต่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้เท่านั้น แต่ยังทำให้การจัดการน้ำกลายเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงของทรัพยากร กระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเมือง และสร้างพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจริมน้ำที่กลายมาเป็นแลนด์มาร์กสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศอีกด้วย
สิงคโปร์ไม่ได้มี Marina Barrage โครงการเดียวเท่านั้น รัฐบาลยังส่งเสริมโครงการน้ำ ABC Waters Program (Active, Beautiful, Clean Waters) ซึ่งเปลี่ยนคลองระบายน้ำแบบเดิมให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะ และลำธารธรรมชาติที่สวยงาม นวัตกรรมเหล่านี้ช่วยชะลอการไหลของน้ำ ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมฉับพลัน และเพิ่มพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจให้ประชาชน
ตัวอย่างที่โดดเด่นของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ สวนสาธารณะ Bishan–Ang Mo Kio จากคลองคอนกรีตที่แข็งทื่อถูกเปลี่ยนให้เป็นสวนสาธารณะที่มีลำธารธรรมชาติที่สามารถรองรับระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝนได้ โดยโครงการนี้ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติและมีการอ้างอิงอย่างกว้างขวางในเมืองอื่นๆ ในฐานะกรณีศึกษาของโครงสร้างพื้นฐานสีน้ำเงิน-เขียว
นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังออกกฎหมายกำหนดให้อาคารเอกชนต้องบริหารจัดการน้ำฝนในพื้นที่ ซึ่งจะช่วยลดภาระของระบบระบายน้ำของประเทศ กฎระเบียบเหล่านี้รวมถึงข้อบังคับให้อาคารต้องมีถังเก็บน้ำฝน พื้นผิวที่ซึมผ่านได้สำหรับสวน และหลังคาที่สามารถดูดซับน้ำได้ อาคารขนาดใหญ่ต้องติดตั้งระบบกักเก็บน้ำ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ระบบระบายน้ำของรัฐไม่ต้องรับน้ำมากเกินไป ทำให้การจัดการน้ำในเมืองรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อีกโครงการหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมสิงคโปร์คือ ถังเก็บน้ำและถังพักน้ำใต้ดินขนาดใหญ่ เช่น Stamford Detention Tank ใต้โบทานิคการ์เดน และ Opera Estate Detention Tank ใกล้กับเบดก จะเก็บน้ำส่วนเกินไว้ชั่วคราวระหว่างฝนตกหนัก เพื่อป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่เสี่ยง เช่น ถนนออร์ชาร์ด
Stamford Detention Tank สามารถกักเก็บน้ำฝนได้สูงสุด 38,000 คิวบิกเมตร หรือเทียบเท่ากับสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิก 15 สระ
สิงคโปร์ยังมีสถานีสูบน้ำใกล้ถนนไซเอ็ดอัลวี เพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในจาลันเบซาร์ ซึ่งแตกต่างจากถังเก็บน้ำ ตรงที่สถานีสูบน้ำจะสูบน้ำเข้าและสูบน้ำออกอย่างต่อเนื่อง แม้ในขณะที่ฝนตกหนัก

รัฐบาลสิงคโปร์ยังนำสมาร์ทเทคโนโลยีมาใช้รับมือน้ำท่วม ดังนี้
- ท่อระบายน้ำอัจฉริยะ ท่อระบายน้ำติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อตรวจสอบปริมาณน้ำฝน ระดับน้ำ และอัตราการไหล ช่วยให้สามารถปรับอัตโนมัติเพื่อป้องกันน้ำล้นได้ ท่อระบายน้ำอัจฉริยะจะเปิดประตูหรือปรับช่องทางการไหลโดยอัตโนมัติเพื่อระบายน้ำส่วนเกินออกจากพื้นที่เสี่ยง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในเมือง
- การตรวจสอบแบบเรียลไทม์ เครือข่ายควบคุมส่วนกลางรับข้อมูลจากเซ็นเซอร์ ช่วยให้ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและตรวจสอบความเสี่ยงน้ำท่วมแบบเรียลไทม์
- รถรับมือน้ำท่วม สามารถติดตั้งยานพาหนะเฉพาะทางเพื่อตรวจสอบ แจ้งเตือนประชาชน และเปลี่ยนเส้นทางการจราจร พร้อมติดตั้งแผงกั้นน้ำท่วมแบบพกพาและถุงกันน้ำ
ปัจจุบันนี้พื้นที่ 2 ใน 3 ของสิงคโปร์ถูกใช้รองรับน้ำ โดยน้ำฝนที่ตกลงในพื้นที่เหล่านี้จะถูกรวบรวมผ่านเครือข่ายท่อระบายน้ำ คลอง และแม่น้ำที่ทอดยาวประมาณ 8,000 กิโลเมตร ก่อนที่จะส่งต่อไปยังอ่างเก็บน้ำ 17 แห่ง

สิงคโปร์ยังใช้แนวทางการจัดการน้ำฝนแบบองค์รวมที่เรียกว่าแนวทาง “แหล่งกำเนิด-เส้นทาง-ตัวรับ”(Source-Pathway-Receptor) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวให้กับระบบระบายน้ำของประเทศ อาทิ การอัพเกรดการระบายน้ำ (ผ่านโซลูชัน Pathway) เพื่อจัดการน้ำฝนที่ตกลงมา (เช่น ผ่านโซลูชัน Source เช่น ถังเก็บน้ำภายในอาคาร) และในบริเวณที่น้ำท่วมอาจไหลไป (เช่น ผ่านโซลูชัน Receptor เช่น กำแพงกั้นน้ำท่วม)
หน่วยงานจัดการน้ำของสิงคโปร์ (PUB) ระบุว่า รัฐบาลสิงคโปร์ทุ่มงบประมาณในการปรับปรุงโครงสร้างการระบายน้ำ 2,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (49,500 ล้านบาท) ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และอีก 1,400 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ตั้งแต่ปี 2021-2025 (34,650 ล้านบาท)
การลงทุนนี้ทำให้สิงคโปร์ลดพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมจากประมาณ 30 ตารางกิโลเมตรในช่วงทศวรรษ 1970 เหลือเพียงประมาณ 0.3 ตารางกิโลเมตรในปัจจุบัน
แนวทางของสิงคโปร์สะท้อนให้เห็นถึงการวางผังเมืองที่ก้าวหน้า ซึ่งเทคโนโลยีและความยั่งยืนเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่อระบายน้ำอัจฉริยะช่วยป้องกันทั้งโครงสร้างพื้นฐานและชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัย ด้วยการป้องกันไม่ให้น้ำขังในพื้นที่ลุ่ม และในอนาคตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้สภาพอากาศเลวร้ายเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น นวัตกรรมเหล่านี้จึงสามารถเป็นต้นแบบให้กับเมืองอื่นๆ รวมทั้งประเทศไทยที่เสี่ยงต่อน้ำท่วมได้เป็นอย่างดี
Photo by ROSLAN RAHMAN / AFP



