‘ญี่ปุ่น’ กลายเป็นอีกหนึ่งประเทศในเอเชียที่ได้ชื่อว่า ‘ประสบภัยพิบัติธรรชาติ’ บ่อยครั้งเนื่องด้วยภูมิประเทศที่เป็นหมู่เกาะตั้งอยู่ในบริเวณวงแหวนไฟ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้มีแนวโน้มเผชิญแผ่นดินไหวและสึนามิค่อนข้างบ่อย มิหนำซ้ำพายุไต้ฝุ่นก็ยังผลัดกันแวะเวียนมาเยือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเกิดน้ำท่วมรุนแรงหลายครั้งโดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เนื่องจากญี่ปุ่นมีอดีตที่เจ็บปวดกับอุทกภัยมานานหลายศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็นพายุไต้ฝุ่นแคทลีนที่ถล่มโตเกียวเมื่อปี 1947 ทำลายบ้านเรือนไปราว 31,000 หลัง และคร่าชีวิตผู้คนไป 1,100 ราย หรือแม้แต่พายุไต้ฝุ่นคาโนกาวะที่พัดถล่มเมืองหลวงอีกครั้งเมื่อปี 1958 ด้วยปริมาณน้ำฝนราว 400 มิลลิเมตรในหนึ่งสัปดาห์ ทำให้ถนนหนทาง บ้านเรือน และธุรกิจต่างๆ ถูกน้ำท่วม
แต่อย่าลืมว่าญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็น ‘เทพแห่งนวัตกรรม’ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าพวกเขาจะคิดค้นหาแนวทางรับมือกับภัยพิบัติ ‘น้ำท่วมเมือง’ โดยเฉพาะในกรุงโตเกียวที่ตั้งอยู่บนที่ราบซึ่งมีแม่น้ำสายสำคัญ 5 สายตัดผ่าน และมีแม่น้ำหลายสิบสายที่ระดับน้ำมักสูงขึ้นตามธรรมชาติในแต่ละฤดูกาล ประกอบกับการขยายเมือง รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เมืองหลวงแห่งนี้เสี่ยงจมมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากวางแผนรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้มานานหลายทศวรรษ ในปี 1993 รัฐบาลจึงผุดโปรเจกต์ ‘G-Cans’ อุโมงค์ระบายน้ำใต้ดินรอบนอกเขตมหานคร หรือที่คนญี่ปุ่นรู้กันกันในนาม ‘วิหารใต้ดินป้องกันน้ำท่วม’ มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.4 หมื่นล้านบาท)
‘G-Cans’ วิหารใต้ดินป้องกันน้ำท่วม…
.jpg&w=3840&q=75)
‘G-Cans’ อุโมงค์ระบายน้ำใต้ดินรอบนอกเขตมหานคร หนึ่งในผลงานทางวิศวกรรมที่น่าประทับใจที่สุดของกรุงโตเกียว ดำเนินงานสร้าง 13 ปีตั้งแต่ปี 1993-2006 ถือเป็น ‘โครงการระบายน้ำท่วมที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ อยู่ที่นครคาซูกาเบะ จังหวัดไซตามะ ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 30 กิโลเมตร มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มของโตเกียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีพายุไต้ฝุ่นและฝนตกหนัก
วิหารป้องกันน้ำท่วมนี้อยู่ลึกลงไปใต้ดิน 50 เมตร ประกอบไปด้วย :
- เครือข่ายอุโมงค์ขนาดยักษ์ยาว 6.3 กม.
- เสาอุโมงค์สูงตระหง่าน 18 เมตร 59 ต้น ทำหน้าที่เป็นท่อรับน้ำจากพื้นดินลงชั้นใต้ดิน
- ถังเก็บน้ำยักษ์ 5 ถัง สูง 65 ม. สามารถบรรจุน้ำได้ถังละ 209,000 ลูกบาศก์เมตร เทียบเท่าสระโอลิมปิกเกือบ 100 สระ
- เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ 78 เครื่องที่มาพร้อมกับความสามารถในการระบายน้ำท่วมลงสู่ ‘แม่น้ำเอโดะ’ ด้วยความเร็วสูงสุด 200 ตัน/วินาที เทียบเท่ากับการระบายน้ำจากสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิกได้ภายในเวลาเพียง 12 วินาที
ในส่วนของพื้นที่โดยรอบ บวกกับความโอ่อ่าของสถาปัตยกรรมสร้างบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์มากกว่าพื้นที่อุตสาหกรรมเสียอีก ที่นี่จึงกลายเป็นอีกจุดหมายยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน ซึ่งจะเปิดให้สาธารณชนเข้าชมก็ต่อเมื่อไม่ได้มีการใช้งานระบายน้ำ
.jpg&w=3840&q=75)
ทั้งนี้พบว่า ตั้งแต่เปิดใช้งานมาจนถึงปี 2014 ระบบระบายน้ำนี้ประสบความสำเร็จในการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมและลดความเสียหายได้ถึง 85 เท่า ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนสิงหาคม 2008 ซึ่งเป็นช่วงที่มีปริมาณน้ำไหลเข้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ระบบ G-Cans สามารถระบายน้ำท่วมออกไปถึง 11.72 ล้านลูกบาศก์เมตร
กระทรวงที่ดินญี่ปุ่นประเมินว่า ตั้งแต่ระบบเริ่มใช้งานจริง ก็ช่วยปกป้องพื้นที่จากความเสียหายจากน้ำท่วมได้มากกว่า 1.5 แสนล้านเยน (ราว 3 หมื่นล้านบาท) นั่นหมายความว่าระบบ G-Cans ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและฟื้นฟูความเสียหายจากน้ำท่วมได้จำนวนมหาศาลทีเดียว เทียบเท่ากับการลงทุนก่อสร้างเริ่มต้นที่ 2.3 แสนล้านเยน (ราว 4.7 หมื่นล้านบาท) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า “ในเดือนมิถุนายน 2024 ระบบ G-Cans ถูกเปิดใช้งานถึง 4 ครั้ง มากกว่าปี 2023 ทั้งปี เนื่องจากฤดูร้อนในปี 2024 เป็นฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่ปี 1898 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีบันทึกอุณหภูมิทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังมีฝนตกหนักและน้ำท่วมบ่อยกว่าปี 2023 อย่างเห็นได้ชัด”
“ในช่วงพายุไต้ฝุ่นชานชานเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2024 ระบบ G-Cans สามารถกักเก็บน้ำฝนและน้ำท่วมได้มากพอที่จะท่วมสนามเบสบอลโตเกียวโดมได้เกือบ 4 ครั้ง”
แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฝนจะตกมากขึ้น แต่ปัญหาน้ำท่วมน้อยลง โดยระบบ G-Cans สามารถลดปัญหาน้ำท่วมได้ถึง 90% และจัดการกับน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
แล้วอุโมงค์อัจฉริยะแห่งนี้ระบายน้ำท่วมอย่างไร…?
- เมื่อฝนตกหนักในกรุงโตเกียว น้ำจากแม่น้ำที่ล้นตลิ่งจะไหลเข้าประตูรับน้ำขนาดใหญ่ของเครือข่ายอุโมงค์
- จากนั้นน้ำก็จะไหลลงเสาอุโมงค์ของระบบ G-Cans โดยแรงโน้มถ่วงจะช่วยดึงน้ำลงสู่ชั้นใต้ดินลึก 50 เมตร และควบคุมแรงดันไม่ให้น้ำพุ่งกลับขึ้นสู่พื้นผิว
- น้ำจะไหลผ่านเครือข่ายอุโมงค์ยาว 6.3 กม.ไปยังถังเก็บน้ำขนาดยักษ์ 5 ถัง
- หลังจากนั้น เครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ 78 เครื่อง (กำลังรวม 14,000 แรงม้า) จะสูบน้ำออกด้วยความเร็ว 200 ตัน/วินาที ลงสู่แม่น้ำเอโดะ แล้วไหลลงสู่ทะเล
BBC รายงานว่า “โครงสร้างพื้นฐานป้องกันน้ำท่วมของกรุงโตเกียวถูกออกแบบทางประวัติศาสตร์ให้ทนฝนได้สูงสุด 50 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง แต่ในอนาคตอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากจำนวนวันฝนตกหนักเฉลี่ยต่อปีของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และมีการประมาณการว่า ฝนฤดูร้อนเฉลี่ยของประเทศอาจเพิ่มขึ้นถึง 19% ตลอดศตวรรษที่ 21”
แต่รัฐบาลได้ปรับปรุงเพิ่มขีดความสามารถป้องกันน้ำท่วมแล้วจากเดิมที่รับฝนได้ 50 มม./ชม เป็น 65-75 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ถึงกระนั้น ระบบ G-Cans ก็ไม่สามารถหยุดยั้งน้ำท่วมบ้านเรือนกว่า 4,000 หลังในลุ่มน้ำจากพายุไต้ฝุ่นเมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ได้ ทางรัฐบาลจึงเริ่มโครงการเสริมสร้างคันกั้นน้ำและการระบายน้ำในพื้นที่ระยะเวลา 7 ปี มูลค่า 3.73 หมื่นล้านเยน (ราว 7.5 พันล้านบาท)
นอกจากนี้ก็ยังมีโครงการที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2027 ในเขตใจกลางกรุงโตเกียวเพื่อเชื่อมช่องทางรับน้ำล้นจากแม่น้ำชิราโกะ และแม่น้ำคันดะ โดยจะลำเลียงน้ำท่วมใต้ดินประมาณ 13 กิโลเมตรออกสู่อ่าวโตเกียว
“ระบบท่อระบายน้ำของโตเกียวได้รับการออกแบบให้รองรับปริมาณน้ำฝนได้สูงสุด 75 มิลลิเมตร/ชั่วโมง แต่ปัจจุบันมีพายุฝนฟ้าคะนองเฉพาะพื้นที่ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมมากถึง 100 มิลลิเมตร ทำให้ระบบรับไม่ไหว ยกตัวอย่างเช่น หากมีฝนตกหนักชั่วคราวในลุ่มแม่น้ำคันดะ เราก็สามารถใช้ความจุของลุ่มน้ำในพื้นที่อื่นที่ไม่มีฝนตก เพื่อรองรับน้ำที่ล้นมาได้...เราเชื่อว่าวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพในการรับมือกับพายุฝนกองโจรเหล่านี้”
— ชุน โอโตโมะ ผู้จัดการไซต์ก่อสร้างของโครงการ G-Cans กล่าว



