เพียงไม่กี่สัปดาห์หลายประเทศในอาเซียนต้องเผชิญพายุฝนกระหน่ำและน้ำท่วมหนักอย่างไม่เคยมีมาก่อน ภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะหาดใหญ่ ถูกน้ำท่วมสูงทั้งเมือง เมืองต่างๆ ถูกตัดขาดจากน้ำท่วมใหญ่เป็นประวัติการณ์ในเวียดนาม ฟิลิปปินส์กำลังฟื้นตัวจากพายุไต้ฝุ่นที่พัดถล่มติดต่อกันหลายลูก มาเลเซียกำลังเตรียมรับมือกับฤดูฝนที่ยาวนานและหนักหน่วง
น้ำท่วมและฝนตกหนักทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการรวมกันของระบบสภาพอากาศและผลกระทบที่หนักขึ้นของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ผู้เชี่ยวชาญเผยกับสำนักข่าว Channel News Asia ว่า ระบบภูมิอากาศหลัก 2 ระบบคือ ลานีญาและอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรอินเดียฝั่งตะวันตกและตะวันออกอยู่ในเฟสลบ (ด้านตะวันตกเย็นกว่าและด้านตะวันออกอุ่นกว่า) ได้เรียงตัวกันอย่างผิดปกติในฤดูกาลนี้ ส่งผลให้มีฝนตกหนักมากขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค
ประกอบกับความสามารถในการปรับตัวของภูมิภาคนี้ปรับไม่ทันอัตราการเพิ่มขึ้นของภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ขณะที่สถิติยังถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ฝนที่ตกหนักน่าจะยังคงปกคลุมพื้นที่ที่ชุ่มน้ำอยู่แล้ว และจะค่อยๆ ไหลลงสู่คาบสมุทรมลายูไปยังสิงคโปร์และอินโดนีเซียในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

ขณะนี้สถานการณ์ฉุกเฉินยังคงอยู่ในหลายพื้นที่ อาทิ ตอนกลางของเวียดนามที่ถูกฝนกระหน่ำจนน้ำท่วมกว่า 200,000 หลังคาเรือน เมืองเว้มีปริมาณฝน 1-1.7 เมตรในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง โดยปีนี้เวียดนามเจอพายุไต้ฝุ่นแล้ว 14 ลูก และกำลังเตรียมรับมือกับไต้ฝุ่นอีก 1 ลูกคือ เบอร์เบนา (Verbena)
ในฟิลิปปินส์ พายุไต้ฝุ่นคัลแมกีและฟงหว่อง ไต้ฝุ่นลูกที่ 20 และ 21 ของปีนี้ พัดถล่มตอนกลางของประเทศในเดือนนี้ ส่งผลให้เกิดลมกระโชกแรง ฝนตกหนัก และน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ที่เคยประสบภัยธรรมชาติหลายครั้ง
ขณะที่น้ำท่วมไทยที่หาดใหญ่ต้องอพยพประชาชนครั้งใหญ่และประกาศเขตภัยพิบัติหลังฝนตกหนักในรอบ 300 ปี มีปริมาณฝนสะสมมากกว่า 600 มิลลิเมตรในพื้นที่ในเวลาเพียงไม่กี่วัน
เช่นเดียวกับมาเลเซียที่ประสบอุทกภัยใน 8 รัฐ
ความชื้นคือเชื้อเพลิง
เฟรโดลิน ตันกัง นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศและศาสตราจารย์เกียรติคุณจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติมาเลเซีย เผยว่า ปัจจัยขับเคลื่อน 2 ปัจจัยที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นพร้อมกันอย่างแรงเช่นนี้ ได้ผสานกันจนทำให้พื้นที่บางส่วนของภูมิภาคกลายเป็นเครื่องจักรสร้างความชื้น และ “ความชื้นคือเชื้อเพลิงสำหรับฝนตกหนัก”
ปรากฏการณ์ลานีญา ซึ่งทำให้เกิดฝนตกหนักทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา แม้จะไม่รุนแรงเท่าปีก่อนๆ แต่ก็แรงเพียงพอที่จะทำให้ปริมาณฝนเพิ่มขึ้นและส่งเสริมรูปแบบของมรสุม โดยเฉพาะเมื่อรวมกับอุณหภูมิผิวน้ำทะเลในมหาสมุทรอินเดียฝั่งตะวันตกและตะวันออกอยู่ในเฟสลบ (ด้านตะวันตกเย็นกว่าและด้านตะวันออกอุ่นกว่า)
รูปแบบภูมิอากาศนี้มีลักษณะเฉพาะคือ น้ำในบริเวณใกล้เคียงประเทศอินโดนีเซียมีอุณหภูมิอุ่นกว่าปกติ ซึ่งดูดความชื้นเข้ามาและเพิ่มปริมาณน้ำฝนในภูมิภาค
โดยปกติแล้ว ปรากฏการณ์ทั้งสองนี้มักไม่รุนแรงที่สุดในเวลาเดียวกัน เนื่องจากเกิดจากแอ่งมหาสมุทรที่แตกต่างกัน ซึ่งขับเคลื่อนโดยรูปแบบการหมุนเวียนของน้ำที่มีลักษณะเฉพาะและช่วงเวลาตามฤดูกาลที่แตกต่างกัน
ฝ่ามถิทันงา ผู้อำนวยการสถาบันอุตุนิยมวิทยา อุทกวิทยา และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของเวียดนามเผยว่า ในฤดูฝนนี้เกิดความ “ความแตกต่างอย่างสุดขั้ว” คือ อุณหภูมิพื้นผิวในตอนกลางของแปซิฟิกเย็นลงแล้ว แต่น้ำในทะเลจีนใต้นอกชายฝั่งตะวันออกของเวียดนาม และทะเลฝั่งตะวันออกของฟิลิปปินส์ยังอุ่นอย่างผิดปกติ
ผลก็คือ สภาพที่เหมาะสมสำหรับพายุที่จะทำให้เกิดฝนตกหนักเป็นพิเศษ
นอกจากนี้ ข้อมูลขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ระบุว่า ภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดพายุรุนแรง ปีที่แล้วถือเป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา โดยอุณหภูมิทั่วโลกสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมประมาณ 1.55 องศาเซลเซียส
“แน่นอนว่ามันส่งผลต่อปริมาณความชื้นที่ชั้นบรรยากาศสามารถกักเก็บได้ และท้ายที่สุดแล้วจะกลายเป็นฝนตกหนัก น้ำท่วม ดินถล่ม และอื่นๆ อีกมากมาย” ทันกังกล่าว อากาศที่อุ่นขึ้นจะกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ฝนตกหนักและรุนแรงมากขึ้น
เมื่อปีที่แล้ว WMO ระบุในรายงาน State of the Climate in Asia ว่า เอเชีย “กำลังร้อนขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกเกือบสองเท่า”
เซลีนา ไซตัน อิบราฮิม ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะวนศาสตร์และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยปุตรามาเลเซียเผยว่า ยังมีปัจจัยอย่างอื่นร่วมด้วย เหตุการณ์สภาพอากาศไม่เพียงแต่ได้รับอิทธิพลจากสภาพอุณหภูมิในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังได้รับอิทธิพลจากระดับภูมิภาคด้วย และยกตัวอย่างว่า ลมมรสุมที่พัดผ่านมาเลเซียได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในจีนและออสเตรเลีย
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า ลานีญาจะอยู่ไปจนถึงต้นปี 2026 ความเสี่ยงของฝนที่ผิดปกติอาจยังคงมีต่อไปถึงต้นปีใหม่
และดินที่อิ่มตัวจากน้ำอยู่แล้ว เพียงฝนตกปานกลางก็อาจทำให้เกิดน้ำท่วมหรือดินถล่มเพิ่มเติมได้
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาเฉพาะทางอาเซียนคาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำฝนจะสูงกว่าปกติในช่วงเวลานี้ของปีทางตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในหมู่เกาะอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ คาบสมุทรมาเลย์ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
จำเป็นต้องเตรียมพร้อมให้ดี
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แนวโน้มระยะยาวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังมีปัญหา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เหตุการณ์ทางสภาพอากาศและภัยพิบัติที่เคยถูกมองว่าเกิดขึ้นน้อยครั้งหรือเป็นเหตุการณ์สำคัญในอดีต กลับกลายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในปัจจุบัน ทำให้มีเวลาตั้งรับน้อย
นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศเตือนว่า แม้ว่าในอีกหลายปีข้างหน้าพายุไต้ฝุ่นจะไม่เพิ่มจำนวนขึ้น แต่ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้น ปริมาณฝนจะเอาแน่เอานอนไม่ได้ เหตุการณ์รุนแรงจะกลับมาเกิดซ้ำบ่อยขึ้น และเสี่ยงเกิดซ้ำสูง
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า รัฐบาลควรทุ่มงบประมาณมากขึ้นกับการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศเพื่อลดผลกระทบให้น้อยที่สุด และเพิ่มความสามารถในการรับมือเหตุการณ์ดังกล่าวในอนาคต เช่น การปรับปรุงเครือข่ายคลองและการระบายน้ำ เพิ่มโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว อาทิ พื้นที่กักเก็บและดูดซับน้ำตามธรรมชาติ การป้องกันชายฝั่ง การพยากรณ์แบบอัจฉริยะ และการลงทุนเพื่อความพร้อมของชุมชน
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิตเผยว่า น้ำท่วมหาดใหญ่เป็นตัวอย่างของวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วกว่ามาตรการการปรับตัวของไทยจะรับมือได้
“ความรุนแรงของผลกระทบเกิดจากการวางแผนที่ไม่เพียงพอและการตอบสนองที่ล่าช้า หากแผนการจัดการภัยพิบัติแห่งชาติได้รับการบังคับใช้อย่างเต็มที่ สถานการณ์คงไม่บานปลายถึงขนาดนี้”
Photo by ARNUN CHONMAHATRAKOOL / THAI NEWS PIX / AFP



