แม้การเจรจาระดับนานาชาติว่าด้วยสนธิสัญญาการจัดการมลพิษพลาสติกจะล้มเหลวมาแล้วถึงสองครั้งติดต่อกัน แต่ล่าสุด อิงเกอร์ แอนเดอร์เซน ผู้อำนวยการบริหารโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ยืนยันว่า กระบวนการยังไม่ถึงทางตัน และสนธิสัญญาโลกต่อต้านมลพิษพลาสติกยังคงเป็นไปได้ แม้การเจรจาจะล้มเหลวหลายครั้ง รวมทั้งประธานลาออกกะทันหัน
“ไม่มีประเทศใดถอนตัวจากการเจรจา” แอนเดอร์เซนกล่าว พร้อมย้ำว่าทุกฝ่ายยังคงแสดงความตั้งใจในการหาข้อยุติร่วมกัน แม้จะมีจุดยืนที่แตกต่าง โดยเฉพาะระหว่างประเทศที่เรียกร้องให้มีมาตรการจำกัดการผลิตพลาสติก กับกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่เน้นการจัดการขยะเป็นหลัก

การลาออกของประธานการเจรจา
Luis Vayas Valdivieso เอกอัครราชทูตเอกวาดอร์ประจำอังกฤษ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลว่าด้วยมลพิษจากพลาสติก 3 รอบสุดท้าย จากทั้งหมด 6 รอบ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ทำให้กระบวนการเจรจาขาดผู้นำ
ทั้งนี้ การเจรจาซึ่งเริ่มต้นในปี 2022 และเดิมคาดว่าจะสิ้นสุดในปี 2024 ผ่านการประชุมมาแล้ว 6 รอบ โดยรอบล่าสุดในกรุงเจนีวาเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ไม่สามารถตกลงกันได้ อีกทั้งยังเกิดความปั่นป่วนเมื่อ Luis Vayas Valdivieso เอกอัครราชทูตเอกวาดอร์ ประธานการเจรจา 3 รอบหลังสุด ประกาศลาออก ท่ามกลางข้อกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ใน UNEP จัดประชุมลับเพื่อกดดันให้เขาพ้นจากตำแหน่ง ซึ่ง Andersen ปฏิเสธและระบุว่าได้ส่งเรื่องให้สำนักงานตรวจสอบภายในของสหประชาชาติแล้ว
แม้ความพยายามในรอบล่าสุดจะไม่สัมฤทธิผล แต่ UNEP มองว่ายังมีช่องทางในการขับเคลื่อนต่อไป ทั้งในเวทีสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่นิวยอร์ก การประชุมสุดยอดด้านภูมิอากาศ COP30 ที่บราซิลในเดือนพฤศจิกายน และการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติที่ไนโรบี ในเดือนธันวาคม

ปัญหาพลาสติกที่รุนแรงขึ้น
ปัญหาพลาสติกกำลังกลายเป็นวิกฤตระดับโลกและแพร่หลายจนพบไมโครพลาสติกบนยอดเขาที่สูงที่สุด ในร่องลึกสุดของมหาสมุทร และกระจายอยู่ในร่างกายมนุษย์เกือบทุกส่วน การผลิตพลาสติกทั่วโลกมากกว่า 400 ล้านตันต่อปี ครึ่งหนึ่งเป็นสินค้าใช้ครั้งเดียว

มีเพียง 15% ของขยะพลาสติกถูกเก็บไปรีไซเคิล แต่มีเพียง 9% เท่านั้นที่ได้รับการรีไซเคิลจริง เกือบครึ่งหนึ่ง หรือ 46% ถูกฝังกลบ 17% ถูกเผา และ 22% จัดการไม่ถูกต้องกลายเป็นขยะ ขณะที่คาดว่าการผลิตพลาสติกจากฟอสซิลจะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ภายในปี 2060 หากไม่มีมาตรการควบคุมที่ชัดเจน

การผลักดันสนธิสัญญาดังกล่าวจึเป็นความพยายามระดับโลกในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้เป้าหมาย SDGs โดยเฉพาะเป้าหมายด้านการบริโภคอย่างยั่งยืน (SDG 12) การรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล (SDG 14) การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (SDG 13) และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ (SDG 17)
แม้กระบวนการจะเต็มไปด้วยอุปสรรคทางการเมือง เศรษฐกิจ และผลประโยชน์ของแต่ละประเทศ แต่อย่างที่ผู้อำนวยการ UNEP ย้ำไว้ว่า “ข้อตกลงนี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าเรายังไม่หยุดเดินต่อ”




