นักวิชาการ มธ.ชี้ทางออก ‘ซากขยะ’ หลังน้ำลด ป้องกันสารเคมีปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม

3 ธ.ค. 2568 - 23:57

  • ตัวเลขขยะภัยพิบัติหลังน้ำท่วมภาคใต้พุ่ง จำนวนเพิ่มขึ้นกว่าปกติ 10 เท่า

  • กรมควบคุมมลพิษเก็บตัวอย่างน้ำจากทะเลสาบสงขลา และอีก 10 จุด คุพบณภาพน้ำไม่ดีถึงพอใช้

  • นักวิชาการหวั่นปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม เผยแผน 3 ระยะแก้วิกฤต “ซากขยะ” หลังน้ำลด

นักวิชาการ มธ.ชี้ทางออก ‘ซากขยะ’ หลังน้ำลด ป้องกันสารเคมีปนเปื้อนสิ่งแวดล้อม

เชื่อหรือไม่?ขยะภัยพิบัติ (Disaster Debris) ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์น้ำท่วมแต่ละครั้ง อาจมีปริมาณสูงกว่าช่วงเวลาปกติถึง 10 เท่า!!

เนื่องจากเป็นการรวมมวลขยะหลากหลายชนิด ทั้งขยะชิ้นใหญ่ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องนุ่งห่ม ขยะอันตราย ซากสัตว์ ซึ่งตัวเลขล่าสุดซากขยะในสงขลา หลังประสบมหาอุทกภัยที่กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เผยราว 10,000 ตันแล้ว

...ลองคิดดูว่าหากขยะเหล่านี้ “ไม่ได้คัดแยกหรือจัดการอย่างเป็นระบบ” จะส่งผลกระทบในระยะยาวแค่ไหน?

sustainability-waste-management-post-flood-prevent-chemical-contamination-SPACEBAR-4.jpg

แค่ปัญหาระยะสั้น ถ้าไม่รีบจัดการ “ซากขยะ” เหล่านี้จะส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง กลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ก่อมลพิษทางอากาศ กระทบต่อระบบทางเดินหายใจของคนในชุมชน

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 16 (สคพ.16) กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ยังได้ตรวจสอบคุณภาพน้ำภาคสนามและเก็บตัวอย่างน้ำจากทะเลสาบสงขลา คลองอู่ตะเภา คลองแห และคลองในพื้นที่อำเภอระโนด 11 จุด พบออกซิเจนละลายน้ำ (DO) มีค่า 0.0 – 4.2 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งบ่งชี้ถึง “คุณภาพน้ำไม่ดีถึงพอใช้” อาจเกิดจากการปนเปื้อนสารอินทรีย์หรือน้ำท่วมขังทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง พบความขุ่น (Turbidity) มีความผันผวนในแต่ละพื้นที่ คาดว่าเป็นผลมาจากน้ำท่วมที่พัดพาตะกอนลงสู่แหล่งน้ำ ส่วนความเป็นกรด–ด่าง (pH) ค่าการนำไฟฟ้าและความเค็มอยู่เกณฑ์ปกติ

โดยจากการเก็บตัวอย่างคุณภาพน้ำส่งห้องปฏิบัติการฯ วิเคราะห์ความสกปรกในรูปสารอินทรีย์ แบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด แบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม และแอมโมเนียในหน่วยไนโตรเจน เพื่อประเมินคุณภาพน้ำจากสถานการณ์อุทกภัยและใช้ประกอบการวางแผนจัดการคุณภาพน้ำในพื้นที่ต่อไป

รศ.ดร.น้ำฝน เอกตาเเสง อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รศ.ดร.น้ำฝน เอกตาเเสง อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

นักวิชาการธรรมศาสตร์เสนอแผน 3 ระยะแก้วิกฤตซากขยะ “หาดใหญ่” หลังน้ำลด

รศ.ดร.น้ำฝน เอกตาเเสง อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า วิกฤตซากขยะ “หาดใหญ่” หลังน้ำลด ระยะเร่งด่วน “เทศบาล-อบต.” ต้องกำหนดจุดทิ้งขยะใกล้ชุมชน ควรอยู่ในที่สูงมีผ้าใบปูรองป้องกันสารเคมีไหลลงสู่ดิน พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนคัดแยกขยะอย่างง่ายก่อนทิ้ง ป้องกันปัญหาขยะอันตราย “เครื่องใช้ฟ้า-แบตเตอรี่-สารเคมี” ลอยไปกับน้ำ

กางแผน 3 ระยะระบบการจัดการขยะหลังน้ำลด

ในระยะเร่งด่วน เทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ควรจะมีการกำหนดจุดทิ้งขยะในบริเวณที่ใกล้กับชุมชนมากที่สุด และเร่งรณรงค์ให้ความรู้เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องการคัดแยกขยะ เพื่อให้ประชาชนคัดแยกในเบื้องต้นก่อนจะนำไปกองรวมที่บริเวณจุดทิ้งขยะที่ท้องถิ่นกำหนด เพราะขณะนี้มีขยะที่เกิดขึ้นหลายประเภท อาทิ ขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิล และที่น่ากังวลคือขยะอันตรายจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า แบตเตอรี่ สารเคมี ฯลฯ ที่ลอยมากับน้ำท่วม

อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่อาจเกิดข้อจำกัดทำให้ประชาชนไม่สามารถดำเนินการคัดแยกขยะได้ด้วยตนเอง ควรจะมีหน่วยงานจากภาครัฐเข้าไปตั้งศูนย์เฉพาะกิจในบริเวณที่ใกล้กับชุมชนเพื่อดำเนินการคัดแยกขยะให้ประชาชน นอกจากนี้อยากจะให้หน่วยงานในพื้นที่ได้มีการประเมินความเสี่ยงจุดพื้นที่ในการทิ้งขยะ เพราะจากการพยากรณ์อากาศอาจจะยังคงมีฝนอยู่เล็กน้อย

sustainability-waste-management-post-flood-prevent-chemical-contamination-SPACEBAR-2.jpg

“ตอนนี้จากที่ดูในภาพข่าวเหมือนนำขยะไปเทกองไว้ ส่วนตัวจึงอยากให้ประเมินเรื่องพื้นที่ในการทิ้งรวม อาจจะต้องเป็นพื้นที่สูง ห่างจากแหล่งน้ำ และมีระบบในการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดน้ำท่วมซ้ำ เช่น ถ้าสามารถปูผ้าใบรองลงไปก่อนที่จะนำขยะมาเททิ้ง อย่างน้อยในกรณีที่มีฝนตกซ้ำ หากมีขยะอันตรายเข้ามาผ้าใบที่ปูไว้ก็จะเป็นปราการด่านแรกในป้องกันไม่ให้สารเคมีรั่วซึมปนเปื้อนลงดินได้ เพื่อป้องกันอันตรายต่อสุขภาพของคนในพื้นที่”

รศ. ดร.น้ำฝน กล่าว

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปด้วยว่า ในระยะกลาง เพื่อการฟื้นฟู ซึ่งอาจกินระยะเวลา 1–3 เดือน หลังจากนี้ ควรจะมีการประเมินการเก็บข้อมูลเชิงสถิติในปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นหลังภัยพิบัติ ว่ามีมากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการออกแบบการรับมือขยะหลังภัยพิบัติต่อไป จากนั้นก็จะต้องเริ่มต้นกำหนดตำแหน่งและเส้นทางการขนย้ายขยะให้เกิดความรวดเร็วที่สุด

นอกจากนี้ หากภาครัฐ ภาคเอกชน มีกำลังไม่เพียงพอในการจัดการ ควรจะสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชนในชุมชน เช่น การคัดแยกขยะ หรือการนำขยะประเภทที่สามารถรีไซเคิลได้ไปสร้างมูลค่าเพิ่มแทนที่จะนำไปกำจัดอย่างเดียว และ ควรจะต้องเกิดกระบวนการทำงานที่บูรณาการการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีการสื่อสาร และกำหนดมาตรการอย่างมีส่วนร่วม

รศ. ดร.น้ำฝน กล่าวถึงการแก้ปัญหาระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืนว่า การรับมือภัยพิบัติไม่เพียงแค่การประเมินเรื่องน้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือแผนในการเผชิญเหตุเท่านั้น แต่การวางระบบเชิงโครงสร้างเพื่อการจัดการปัญขยะภายหลังเกิดภัยพิบัติควรจะเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ควรจะมีการวางแผน การเตรียมความพร้อมเช่นเดียวกัน

sustainability-waste-management-post-flood-prevent-chemical-contamination-SPACEBAR-3.jpg

ทั้งนี้ ในระดับจังหวัดควรจะมีการกำหนดขั้นตอน มาตรฐาน หรือคู่มือการจัดการขยะหลังภัยพิบัติที่จะสามารถถ่ายทอดไปยังหน่วยงานท้องถิ่นได้ นอกจากนี้ก็จะเป็นเรื่องการสร้างและกำหนดเครือข่ายการทำงาน ว่าหากเกิดวิกฤตแล้วหน่วยงานใดบ้างที่จะต้องเข้ามาช่วยเหลือ รวมไปถึงความพร้อมด้านเทคโนโลยี เช่น การมีระบบรายงานแจ้งเรื่องร้องเรียนที่ประชาชนสามารถแจ้งเข้ามาได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ โดยภาครัฐก็จะเข้าไปแก้ไขได้อย่างทันท่วงที หากทำได้ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะสามารถปรับโครงสร้างในการรับมือกับภัยพิบัติในอนาคตได้ ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าจุดในการทิ้งขยะ การรวมขยะควรจะเป็นตรงไหน และหน่วยงานก็จะเข้าใจบทบาทว่าควรขับเคลื่อนต่ออย่างไร

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์