UN ประเมินต้นทุนภัยพิบัติโลกทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ชี้การลงทุนสร้างความยืดหยุ่นคือทางรอด

20 ต.ค. 2568 - 02:37

  • รายงาน UN ประเมินต้นทุนภัยพิบัติสูงถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี มากกว่าต้นทุนจริงถึง 11 เท่า

  • ประเทศกำลังพัฒนารับผลกระทบรุนแรงสุด วิกฤตภัยพิบัติซ้ำซ้อนสร้างวงจรความยากจนและหนี้สิน

  • UN แนะลงทุนสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) และเตรียมพร้อม ลดความเสี่ยงเพื่ออนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืน

UN ประเมินต้นทุนภัยพิบัติโลกทะลุ 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ชี้การลงทุนสร้างความยืดหยุ่นคือทางรอด

องค์การสหประชาชาติ (UN) เผยรายงานประเมินต้นทุนความเสียหายจากภัยพิบัติทั่วโลกในปี 2568 ระบุความเสียหายพุ่งสูงถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 83.95 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าการประเมินค่าใช้จ่ายโดยตรงที่ประมาณ 202,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึ ง 11 เท่า โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่เศรษฐกิจขนาดเล็กและระบบการรับมือยังไม่พร้อม

การประเมินนี้ถูกเผยแพร่เนื่องในโอกาส “วันลดภัยพิบัติสากล” (International Day for Disaster Risk Reduction) ซึ่งปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีมปี 2025 คือ “Fund Resilience, Not Disasters” หรือลงทุนเพื่อสร้างการตั้งรับปรับตัว ไม่ใช่เพื่อภัยพิบัติ เพื่อเน้นย้ำให้ภาคส่วนต่างๆ ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาสังคม เปลี่ยนแนวคิดจากการรับมือหลังเกิดเหตุ มาเป็นการลงทุนป้องกันและลดความเสี่ยงอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

photo-story-worst-flood-china-typhoons-rainstorms-guangdong-SPACEBAR-Photo02-1.jpg

ภัยพิบัติทวีความรุนแรง เพิ่มต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมมหาศาล

ภัยพิบัติธรรมชาติเช่น น้ำท่วม ดินถล่ม พายุเฮอริเคน ไฟป่า และคลื่นความร้อน มีความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็วและรุนแรงขึ้น ทำให้ความเปราะบางของผู้คนและโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มสูงตามไปด้วย

ผลกระทบโดยตรงของภัยพิบัติ เช่น การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ถูกประเมินอยู่ที่ราว 202,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่เมื่อรวมต้นทุนทางอ้อม เช่น การลดลงของรายได้การผลิต การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน ผลกระทบต่อสุขภาพ และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในระยะยาว รายงานประเมินว่าต้นทุนแท้จริงสูงกว่าถึง 11 เท่า หรือราว 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยเฉพาะประเทศรายได้ต่ำและปานกลางที่ขาดโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง มีระบบการแจ้งเตือนภัยและการรับมือที่จำกัด จึงได้รับผลกระทบหนักที่สุด ทั้งในแง่ชีวิตผู้คน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางสังคม

วิกฤติภัยพิบัติกับวงจรความยากจนและหนี้สิน

ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อนและถี่ขึ้นก่อให้เกิด “วงจรความยากจน” และ “วงจรหนี้สิน” ที่แก้ไขได้ยากโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา รายงานระบุว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ รัฐบาลและครัวเรือนต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากไปกับการฟื้นฟูและบรรเทาความเสียหาย ทำให้ต้องเพิ่มการก่อหนี้เพื่อนำมาใช้จ่ายในด้านอื่นๆ ส่งผลให้หนี้สินภาครัฐและครัวเรือนพุ่งสูง และลดศักยภาพในการลงทุนพัฒนาด้านอื่นๆ รวมทั้งการประกันภัยและระบบป้องกันภัยล่วงหน้า

สถานการณ์นี้ยิ่งทวีความซับซ้อนหากความช่วยเหลือระหว่างประเทศลดลง และภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงบ่อยครั้ง ส่งผลให้เกิดวิกฤตมนุษยธรรมซ้ำซ้อนและยืดเยื้อ ซึ่งต้องใช้ต้นทุนการจัดการสูงขึ้นเรื่อยๆ

sustainability-un-disaster-costs-2trillion-resilience-SPACEBAR-Photo01.jpg

ลงทุนเพื่อสร้างความยืดหยุ่น ไม่ใช่เพื่อภัยพิบัติ

ในโอกาสวันลดภัยพิบัติสากลปี 2568 สหประชาชาติได้เรียกร้องให้ทั่วโลกหันมามุ่งเน้นการลงทุนเชิงป้องกันที่ “สร้างความยืดหยุ่น” (Resilience) มากกว่าการใช้ทรัพยากรในภาวะวิกฤตหลังเกิดภัย โดยมีเป้าหมายสำคัญ 2 ด้าน ได้แก่

•           เพิ่มงบประมาณสำหรับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (Disaster Risk Reduction: DRR) ทั้งในระดับประเทศและความช่วยเหลือระหว่างประเทศ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง ระบบเตือนภัยล่วงหน้า และมาตรการป้องกันความเสียหายที่ครอบคลุม

•           การรับรองว่าโครงการพัฒนาทุกโครงการของภาครัฐและเอกชนจะต้องมีการประเมินและคำนึงถึงความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (Risk-informed development) เพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนาในทุกมิติช่วยเสริมความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติและไม่เพิ่มความเปราะบางให้กับชุมชน

ตัวอย่างความสำเร็จและแนวทางปฏิบัติของประเทศต่างๆ

•           อินเดีย
เพิ่มงบประมาณภายในประเทศสำหรับ DRR จาก 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเป้าหมาย 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2569 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 50% โดยเน้นการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการฝึกอบรมชุมชน

•           ออสเตรเลีย
ขยายงบประมาณช่วยเหลือด้าน DRR ภูมิภาคแปซิฟิก โดยเพิ่มเงินช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ (ODA) ประมาณ 2.75% ในปี 2568–2569 เป็นมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย เพื่อสร้างการตั้งรับปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ

•           ภูฏาน
ด้วยความร่วมมือกับ UNDRR และพันธมิตรใน Coalition for Disaster Resilient Infrastructure พัฒนาแผนชาติว่าด้วยความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐานผสานกับแผนพัฒนาห้าปี ฉบับที่ 13 (2024–2029) โดยมีเป้าหมายผลักดันภูฏานสู่ประเทศรายได้สูงภายในทศวรรษหน้า

•           รวันดา
ปรับปรุงกลยุทธ์การเติบโตสีเขียวและความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการลดความเสี่ยงภัยพิบัติเพื่อพัฒนาประเทศสู่รายได้สูงและเศรษฐกิจที่ยั่งยืนภายในปี 2050

•           ชิลี
มีการบังคับใช้กฎหมายอาคารทนแผ่นดินไหวอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องชีวิตและลดความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยแผ่นดินไหว รวมถึงสร้างแรงจูงใจทางกฎหมายให้ผู้รับผิดชอบก่อสร้างต้องรับผิดชอบต่อคุณภาพ

ความสำคัญของการลงทุนในความยืดหยุ่น

•           ทุก 1 ดอลลาร์ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทนภัยพิบัติในประเทศกำลังพัฒนาสามารถประหยัดต้นทุนผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ถึง 4 ดอลลาร์

•           การลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้าช่วยลดความเสียหายได้ประมาณ 30% หากเตือนภัยได้ภายใน 24 ชั่วโมงก่อนเกิดเหตุ

•           การลงทุนในมาตรการเตรียมพร้อมและระบบความปลอดภัยทางสังคม ช่วยให้ชุมชนฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหลังภัยพิบัติ

รายงานของ UN และธีมวันลดภัยพิบัติสากลปี 2568 สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนของการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและวิธีปฏิบัติในการจัดการภัยพิบัติทั่วโลก “ลงทุนเพื่อสร้างความยืดหยุ่น” เป็นหนทางหลักที่ช่วยลดต้นทุนความเสียหายทั้งในเชิงเศรษฐกิจและมนุษย์ได้อย่างยั่งยืน ในขณะที่การลงทุนเพียงเพื่อการตอบสนองหลังภัยพิบัติจะทำให้ต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทุกภาคส่วนตั้งแต่รัฐบาล ภาคเอกชน ไปจนถึงองค์กรระหว่างประเทศและประชาสังคม จำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อเสริมสร้างระบบที่พร้อมรับมือกับภัยพิบัติในระยะยาว และสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับทุกคนทั่วโลก

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์