องค์การสหประชาชาติ (UN) เผยรายงานประเมินต้นทุนความเสียหายจากภัยพิบัติทั่วโลกในปี 2568 ระบุความเสียหายพุ่งสูงถึง 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 83.95 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าการประเมินค่าใช้จ่ายโดยตรงที่ประมาณ 202,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึ ง 11 เท่า โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่เศรษฐกิจขนาดเล็กและระบบการรับมือยังไม่พร้อม
การประเมินนี้ถูกเผยแพร่เนื่องในโอกาส “วันลดภัยพิบัติสากล” (International Day for Disaster Risk Reduction) ซึ่งปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีมปี 2025 คือ “Fund Resilience, Not Disasters” หรือลงทุนเพื่อสร้างการตั้งรับปรับตัว ไม่ใช่เพื่อภัยพิบัติ เพื่อเน้นย้ำให้ภาคส่วนต่างๆ ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาสังคม เปลี่ยนแนวคิดจากการรับมือหลังเกิดเหตุ มาเป็นการลงทุนป้องกันและลดความเสี่ยงอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

ภัยพิบัติทวีความรุนแรง เพิ่มต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมมหาศาล
ภัยพิบัติธรรมชาติเช่น น้ำท่วม ดินถล่ม พายุเฮอริเคน ไฟป่า และคลื่นความร้อน มีความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็วและรุนแรงขึ้น ทำให้ความเปราะบางของผู้คนและโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มสูงตามไปด้วย
ผลกระทบโดยตรงของภัยพิบัติ เช่น การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ถูกประเมินอยู่ที่ราว 202,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่เมื่อรวมต้นทุนทางอ้อม เช่น การลดลงของรายได้การผลิต การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน ผลกระทบต่อสุขภาพ และความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในระยะยาว รายงานประเมินว่าต้นทุนแท้จริงสูงกว่าถึง 11 เท่า หรือราว 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยเฉพาะประเทศรายได้ต่ำและปานกลางที่ขาดโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง มีระบบการแจ้งเตือนภัยและการรับมือที่จำกัด จึงได้รับผลกระทบหนักที่สุด ทั้งในแง่ชีวิตผู้คน การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางสังคม
วิกฤติภัยพิบัติกับวงจรความยากจนและหนี้สิน
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อนและถี่ขึ้นก่อให้เกิด “วงจรความยากจน” และ “วงจรหนี้สิน” ที่แก้ไขได้ยากโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา รายงานระบุว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ รัฐบาลและครัวเรือนต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากไปกับการฟื้นฟูและบรรเทาความเสียหาย ทำให้ต้องเพิ่มการก่อหนี้เพื่อนำมาใช้จ่ายในด้านอื่นๆ ส่งผลให้หนี้สินภาครัฐและครัวเรือนพุ่งสูง และลดศักยภาพในการลงทุนพัฒนาด้านอื่นๆ รวมทั้งการประกันภัยและระบบป้องกันภัยล่วงหน้า
สถานการณ์นี้ยิ่งทวีความซับซ้อนหากความช่วยเหลือระหว่างประเทศลดลง และภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงบ่อยครั้ง ส่งผลให้เกิดวิกฤตมนุษยธรรมซ้ำซ้อนและยืดเยื้อ ซึ่งต้องใช้ต้นทุนการจัดการสูงขึ้นเรื่อยๆ

ลงทุนเพื่อสร้างความยืดหยุ่น ไม่ใช่เพื่อภัยพิบัติ
ในโอกาสวันลดภัยพิบัติสากลปี 2568 สหประชาชาติได้เรียกร้องให้ทั่วโลกหันมามุ่งเน้นการลงทุนเชิงป้องกันที่ “สร้างความยืดหยุ่น” (Resilience) มากกว่าการใช้ทรัพยากรในภาวะวิกฤตหลังเกิดภัย โดยมีเป้าหมายสำคัญ 2 ด้าน ได้แก่
• เพิ่มงบประมาณสำหรับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (Disaster Risk Reduction: DRR) ทั้งในระดับประเทศและความช่วยเหลือระหว่างประเทศ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มั่นคง ระบบเตือนภัยล่วงหน้า และมาตรการป้องกันความเสียหายที่ครอบคลุม
• การรับรองว่าโครงการพัฒนาทุกโครงการของภาครัฐและเอกชนจะต้องมีการประเมินและคำนึงถึงความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (Risk-informed development) เพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนาในทุกมิติช่วยเสริมความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติและไม่เพิ่มความเปราะบางให้กับชุมชน
ตัวอย่างความสำเร็จและแนวทางปฏิบัติของประเทศต่างๆ
• อินเดีย เพิ่มงบประมาณภายในประเทศสำหรับ DRR จาก 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเป้าหมาย 42,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2569 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 50% โดยเน้นการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานและการฝึกอบรมชุมชน
• ออสเตรเลีย ขยายงบประมาณช่วยเหลือด้าน DRR ภูมิภาคแปซิฟิก โดยเพิ่มเงินช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ (ODA) ประมาณ 2.75% ในปี 2568–2569 เป็นมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย เพื่อสร้างการตั้งรับปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ
• ภูฏาน ด้วยความร่วมมือกับ UNDRR และพันธมิตรใน Coalition for Disaster Resilient Infrastructure พัฒนาแผนชาติว่าด้วยความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐานผสานกับแผนพัฒนาห้าปี ฉบับที่ 13 (2024–2029) โดยมีเป้าหมายผลักดันภูฏานสู่ประเทศรายได้สูงภายในทศวรรษหน้า
• รวันดา ปรับปรุงกลยุทธ์การเติบโตสีเขียวและความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการลดความเสี่ยงภัยพิบัติเพื่อพัฒนาประเทศสู่รายได้สูงและเศรษฐกิจที่ยั่งยืนภายในปี 2050
• ชิลี มีการบังคับใช้กฎหมายอาคารทนแผ่นดินไหวอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องชีวิตและลดความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยแผ่นดินไหว รวมถึงสร้างแรงจูงใจทางกฎหมายให้ผู้รับผิดชอบก่อสร้างต้องรับผิดชอบต่อคุณภาพ
ความสำคัญของการลงทุนในความยืดหยุ่น
• ทุก 1 ดอลลาร์ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทนภัยพิบัติในประเทศกำลังพัฒนาสามารถประหยัดต้นทุนผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ถึง 4 ดอลลาร์
• การลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้าช่วยลดความเสียหายได้ประมาณ 30% หากเตือนภัยได้ภายใน 24 ชั่วโมงก่อนเกิดเหตุ
• การลงทุนในมาตรการเตรียมพร้อมและระบบความปลอดภัยทางสังคม ช่วยให้ชุมชนฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหลังภัยพิบัติ
รายงานของ UN และธีมวันลดภัยพิบัติสากลปี 2568 สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนของการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและวิธีปฏิบัติในการจัดการภัยพิบัติทั่วโลก “ลงทุนเพื่อสร้างความยืดหยุ่น” เป็นหนทางหลักที่ช่วยลดต้นทุนความเสียหายทั้งในเชิงเศรษฐกิจและมนุษย์ได้อย่างยั่งยืน ในขณะที่การลงทุนเพียงเพื่อการตอบสนองหลังภัยพิบัติจะทำให้ต้นทุนทางเศรษฐกิจและสังคมสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทุกภาคส่วนตั้งแต่รัฐบาล ภาคเอกชน ไปจนถึงองค์กรระหว่างประเทศและประชาสังคม จำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อเสริมสร้างระบบที่พร้อมรับมือกับภัยพิบัติในระยะยาว และสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนสำหรับทุกคนทั่วโลก




