วันสิ่งแวดล้อมไทย 2568 ไทยเดินหน้ากฎหมายโลกร้อนฉบับแรก วางฐานสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

4 ธ.ค. 2568 - 10:14

  • ครม. เห็นชอบร่างกฎหมายโลกร้อนฉบับแรก ครอบคลุม 14 หมวด 205 มาตรา กำหนดทิศทางไทยต่อสู้สภาพภูมิอากาศรุนแรง


  • เปิดทางใช้ ETS–CBAM–คาร์บอนเครดิต และจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ หนุนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำแข่งในตลาดโลก


  • วันสิ่งแวดล้อมไทยปีนี้มีความหมายพิเศษ ประเทศขยับจากการรณรงค์สู่การปฏิรูปเชิงโครงสร้างด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

วันสิ่งแวดล้อมไทย 2568 ไทยเดินหน้ากฎหมายโลกร้อนฉบับแรก วางฐานสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

วันที่ 4 ธันวาคมของทุกปีเป็น วันสิ่งแวดล้อมไทย (Thai Environment Day) วาระที่เตือนให้คนไทยทั้งประเทศหันกลับมาทบทวนบทเรียนด้านสิ่งแวดล้อม และร่วมกันดูแลทรัพยากรของชาติอย่างจริงจัง วันสำคัญนี้มีรากฐานจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อปี พ.ศ. 2532 ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระองค์ทรงแสดงความห่วงใยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงทั้งในไทยและทั่วโลก พร้อมทรงเตือนให้ประชาชนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างสุขุม รอบคอบ และถือเป็นหน้าที่ร่วมกันเพื่อความอยู่รอดของโลก

ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้วันที่ 4 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันสิ่งแวดล้อมไทย” เพื่อสนองพระราชดำรัสและปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง ทั้งยังเป็น “วันอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านแห่งชาติ” หรือ “วัน ทสม. แห่งชาติ” ตอกย้ำความสำคัญของพลังภาคประชาชนที่ร่วมปกป้องทรัพยากรของแผ่นดิน

ครม. ไฟเขียว “กฎหมายโลกร้อน” ฉบับแรกของประเทศ

ท่ามกลางกระแสความท้าทายด้านภูมิอากาศ ปีนี้ประเทศไทยมีข่าวดีสำคัญรับสัปดาห์วันสิ่งแวดล้อม โดยเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ซึ่งถือเป็น “กฎหมายโลกร้อนฉบับแรก” ที่จะเป็นเครื่องมือเชิงโครงสร้างในการบริหารจัดการผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและผลักดันประเทศสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างเป็นระบบ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเปิดเผยว่า ร่างกฎหมายประกอบด้วย 14 หมวด 205 มาตรา วางกรอบใหม่ให้ประเทศไทยเดินหน้าเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2093 (ค.ศ. 2050) ตามพันธกรณีในเวทีโลก พร้อมยกระดับขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขันด้านการค้าในยุคที่โลกขับเคลื่อนด้วยมาตรฐานคาร์บอนต่ำ

เนื้อหาและกลไกสำคัญของร่างกฎหมาย

ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ “ยุคโลกเดือด” ทั้งมิติการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ และการสนับสนุนทางเศรษฐกิจ โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่

1. การมีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการของทุกภาคส่วน
ภาครัฐ เอกชน และประชาชนจะสามารถร่วมกำหนดทิศทางการลดก๊าซเรือนกระจกและแผนปรับตัวต่อภัยภูมิอากาศรุนแรงได้อย่างชัดเจนและเป็นระบบ

2. กลไกราคาคาร์บอนเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

  • ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS)
  • กลไก CBAM หรือการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน เพื่อเตรียมรับกฎการค้าจากต่างประเทศ
  • ภาษีคาร์บอนและระบบคาร์บอนเครดิต
เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจไทยพร้อมแข่งขันในตลาดโลกที่ใช้คาร์บอนเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดมาตรฐานสินค้า

3. การจัดตั้ง “กองทุนภูมิอากาศ”
เพื่อสนับสนุนการลงทุนด้านเทคโนโลยีสะอาด การปรับตัวต่อภัยพิบัติ และการเยียวยาความสูญเสียและเสียหาย (Loss and Damage) ช่วยให้ทั้งรัฐและเอกชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ร่างกฎหมายได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนครบถ้วนแล้ว และเตรียมเข้าสู่การพิจารณาของสำนักงานกฤษฎีกา ก่อนเสนอสู่รัฐสภา คาดว่าจะเป็นกฎหมายที่มีบทบาทสำคัญต่อทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทยไปอีกหลายทศวรรษ

วันสิ่งแวดล้อมไทยปีนี้… ประเทศไทยขยับสู่อนาคตสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม

แม้วันสิ่งแวดล้อมไทยจะเป็นช่วงเวลาแห่งการระลึกถึงพระราชดำรัสสำคัญเมื่อ 36 ปีก่อน แต่ปีนี้ประเทศไทยได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการสร้างกฎหมายระดับโครงสร้างที่รองรับการแก้ปัญหาภูมิอากาศในระยะยาว การเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.โลกร้อนฉบับแรกจึงไม่เพียงเป็น “ข่าวดี” ในสัปดาห์แห่งสิ่งแวดล้อม แต่ยังสะท้อนว่าประเทศกำลังเดินหน้าอย่างจริงจังสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนกว่าเดิม

ประเทศไทยกำลังก้าวจากการรณรงค์สู่การปฏิบัติจริง และจากเจตนารมณ์สู่เครื่องมือที่วัดผลได้ นี่คือสัญญาณสำคัญว่าการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่กฎหมาย เศรษฐกิจ และภาคสังคมเดินไปด้วยกัน เพื่ออนาคตที่ปลอดภัยจากภาวะโลกร้อนอย่างแท้จริง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์