ฝุ่น PM2.5 ถือเป็นหนึ่งในภัยคุกคามสุขภาพที่ร้ายแรงที่สุดในโลก หลายประเทศกำลังพยายามแก้ปัญหามลพิษทางอากาศนี้อยู่ รวมทั้งประเทศไทยที่ต้องวนมาเจอทุกปีในช่วงฤดูหนาว แต่มีประเทศหนึ่งที่โดดเด่นและประสบความสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ นั่นคือเกาหลีใต้
กระทรวงสิ่งแวดล้อมของเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมมากที่สุดในโลก เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของอนุภาคขนาดเล็กที่เป็นอันตรายในอากาศ หรือที่รู้จักกันในชื่อ PM2.5 ของประเทศ อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการตรวจสอบในปี 2015
นโยบายที่เด่นชัดของเกาหลีใต้คือ “Clear Seoul” ที่เริ่มเมื่อปี 2007 ตามด้วย Clear Seoul 2010 และเพิ่งประกาศ Clearer Seoul 2030 เมื่อเร็วๆ นี้ หลังจากข้อมูลขององค์การนาซาพบว่า กรุงโซลของเกาหลีใต้ติดอันดับหนึ่งในเมืองที่มลพิษทางอากาศแย่ที่สุดในโลก สูงกว่าเมืองใหญ่ๆ อย่างลอสแองเจลิส โตเกียว ปารีส และลอนดอน โดยระดับความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 สูงกว่าระดับที่องค์การอนามัยโลกแนะนำถึง 2 เท่า โดย โอเซฮุน นายกเทศมนตรีกรุงโซลตั้งเป้าว่าจะทำให้เมืองหลวงแห่งนี้ติดท็อป 10 เมืองสีเขียวของโลก
หลังพบว่า 28% ของการเกิดฝุ่น PM 2.5 มาจากรถยนต์ดีเซล รัฐบาลเกาหลีใต้จึงออกแผนเปลี่ยนรถยนต์ดีเซลทั่วเมืองให้กลายเป็นรถที่ปล่อยมลพิษต่ำ ด้วยการห้ามรถยนต์ดีเซลที่ปล่อยมลพิษระดับ 4 และ 5 เข้าใจกลางกรุงโซลตลอดปี และห้ามวิ่งทั่วกรุงโซลช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม ในช่วงที่ฝุ่นเข้มข้น และตั้งแต่ปี 2030 เป็นต้นไปจะห้ามวิ่งทั่วกรุงโซล
นอกจากนี้ รถบัสที่วิ่งตามหมู่บ้าน มอเตอร์ไซค์เดลิเวอรี และรถบรรทุกจะถูกเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2026 และยังมีแผนจะแบนเครื่องยนต์สันดาปภายในวิ่งในพื้นที่ใจกลางเมืองภายในปี 2025 และทั่วเมืองภายในปี 2050
รัฐบาลจูงใจให้ประชาชนปรับเปลี่ยนรถยนต์โดยจะสัญญาว่าจะให้เงินสนับสนุนการเลิกใช้รถยนต์ดีเซลมูลค่า 4 ล้านวอน (86,902 บาท) ต่อคัน จำนวน 10,000 คันต่อปีเพื่อนำไปซื้อรถใหม่ หรือหากไม่ซื้อคันใหม่ก็จะได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Climate Fund แทน โดยเป็นการมอบยอดค่าใช้จ่ายใน Climate Cardหรือบัตรโดยสารขนส่งสาธารณะแบบกำหนดระยะเวลาใช้ เมื่อเติมเงิน 1 ครั้ง สามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะได้ทั้งหมด รวมถึงรถจักรยานสาธารณะแบบไม่จำกัดจำนวนครั้งด้วย (คิดเป็นเงิน 65,000 วอน หรือราว 1,600 บาท) ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ทำลายรถเก่าไปแต่ยังไม่มีการซื้อรถใหม่
จากการบังคับใช้นโยบายนี้ จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นเป็น 750,200 คันในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 25.1% โดยได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานด้านการชาร์จที่เพิ่มขึ้น

บ้านเรือนก็เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดฝุ่น PM2.5 เช่นกัน รัฐบาลจึงกำหนดให้เปลี่ยนอุปกรณ์ทำความร้อนในบ้าน อาทิ เครื่องทำน้ำอุ่น ให้เป็นแบบรักษ์โลกโดยแจกจ่ายให้กับครัวเรือนที่รายได้น้อย นับตั้งแต่ปี 2017 เกาหลีใต้แจกเครื่องทำน้ำอุ่นไปแล้วกว่า 1.48 ล้านเครื่อง
ส่วนในภาคอุตสาหกรรมนั้น มีการจัดการสถานที่ที่ปล่อยมลพิษอย่างเข้มงวด รวมทั้งไซต์งานก่อสร้างและธุรกิจขนาดเล็ก ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมดำเนินการภายใต้ขีดจำกัดการปล่อยมลพิษทั้งหมดในพื้นที่ที่กำหนดเพื่อการจัดการคุณภาพอากาศ
และที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ การกำหนดสีไฟบนโซลทาวเวอร์เพื่อบอกระดับความเข้มข้นของฝุ่น PM2.5 เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงอันตราย และเพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบคุณภาพอากาศในเมืองได้ง่ายๆ เพียงมองจากสีของหอคอยโซลทาวเวอร์
โซลทาวเวอร์จะเปิดไฟ 2 ช่วงคือ 18.00 น. และ 21.00 น. ตามคุณภาพอากาศ ไฟสีน้ำเงิน หมายถึงคุณภาพอากาศดี (ฝุ่น PM2.5 ไม่เกิน 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ไฟสีเขียว หมายถึงคุณภาพอากาศปานกลาง (ฝุ่น PM2.5 16-50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ไฟสีเขียว หมายถึงคุณภาพอากาศแย่ (ฝุ่น PM2.5 51-100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) และไฟสีแดง หมายถึงคุณภาพอากาศแย่มาก (ฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่ 101 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร)

นอกจากนี้ Clear Seoul ยังทำร่วมกับโครงการ “จัดการฝุ่นละอองตามฤดูกาล” หรือ seasonal particulate matter (PM) management ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2019 โดยจะดำเนินมาตรการป้องกันที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคมของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่ระดับฝุ่น PM มักจะพุ่งสูงขึ้นบ่อยครั้ง
การลงทุนจำนวนมากมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปรับปรุงคุณภาพอากาศ ระหว่าง2007-2020 รัฐบาลโซล อินชอน และคยองกี ได้ลงทุน 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการบริหารจัดการคุณภาพอากาศ โดย 56% ของเงินทุนมุ่งเน้นไปที่มาตรการลดการปล่อยมลพิษจากภาคการขนส่ง นอกจากนี้ ยังมีการทุ่มเงินอีกราว 3,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อการสร้างหลักฐานและการมีส่วนร่วมของสาธารณชนเกี่ยวกับคุณภาพอากาศ
ในภาพรวมของประเทศนั้น รัฐบาลเกาหลีใต้นำหุ่นยนต์อัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย 5G มาใช้งานในนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อตรวจวัดคุณภาพอากาศและนำเสนอข้อมูลคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์แก่สาธารณชน หุ่นยนต์ยังสามารถตรวจจับปรากฏการณ์ผิดปกติ เช่น ไฟไหม้หรือควัน เพื่อป้องกันภัยพิบัติได้ด้วยเซ็นเซอร์ที่หลากหลาย ข้อมูลคุณภาพอากาศที่รวบรวมได้จะถูกนำมาใช้สร้างข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
และยังมีโดรนวัดคุณภาพอากาศจากอากาศ และติดตามการปล่อยมลพิษและสารพิษในภาคก่อสร้างและอุตสาหกรรม รวมถึงมลพิษชายฝั่งนานกว่า 20 นาที ในระยะทางสูงสุด 4 กิโลเมตร เมื่อโดรนตรวจพบมลพิษที่มีความหนาแน่นสูง โดรนจะส่งการแจ้งเตือนไปยังศูนย์ควบคุมทันที เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบตรวจสอบสภาพพื้นที่และการปฏิบัติตามกฎระเบียบของฝ่ายบริหาร และหากตรวจพบการละเมิดใดๆ ผู้ที่รับผิดชอบโรงงานจะถูกปรับหรือถูกลงโทษทางปกครอง หรือถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย
ความพยายามเหล่านี้ส่งผลให้ค่าความเข้มข้นของ PM2.5 เฉลี่ยอยู่ที่ 22 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในช่วงจัดการฝุ่นละอองตามฤดูกาล ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่มีการนำมาใช้เมื่อปี 2015 ค่าความเข้มข้นของ PM2.5 เฉลี่ยลดลง 37% (จาก 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เหลือ 22 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) และจำนวนวันที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับ “ดี” (15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรหรือต่ำกว่า) เพิ่มขึ้น 4 เท่า (จาก 11 วัน เป็น 42 วัน) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันก่อนการนำมาใช้ (ธ.ค. 2018-มี.ค. 2019)
เมื่อต้นปีที่ผ่านมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของเกาหลีใต้ประกาศว่า วันที่คุณภาพอากาศดีเพิ่มขึ้นทุบสถิติเป็น 212 วัน ส่วนวันที่อากาศแย่ลดลงเหลือเพียง 10 วัน
ในกรุงโซล ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดของประเทศ ค่าเฉลี่ย PM2.5 ต่อปีอยู่ที่ 17.6 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามข้อมูลของหน่วยงานท้องถิ่นในปีที่แล้ว แม้ว่าจะยังสูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรอยู่มาก แต่ก็ยังถือเป็นการลดลงอย่างมากจากระดับ 26 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในปี 2008
เมื่ออากาศสะอาดขึ้น สุขภาพของประชาชนก็ดีขึ้นตาม จากการศึกษาหนึ่งพบว่า ระหว่างปี 2006-2015 จำนวนผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสมลพิษทางอากาศลดลงอย่างมากในกรุงโซล อินชอน และคยองกี เป็นการพิสูจน์ว่านโยบายที่อิงวิทยาศาสตร์ที่เกาหลีใต้ใช้มากว่า 20 ปีมีประสิทธิภาพ
จากตัวอย่างการรับมือฝุ่น PM2.5 ของเกาหลีใต้จะเห็นว่า การแก้ปัญหาต้องใช้เวลา ความต่อเนื่องของนโยบาย และความจริงจังของรัฐบาล ร่วมกับความร่วมมือจากภาคประชาชน เมื่อถึงวันนั้นท้องฟ้าของกรุงเทพฯ ก็จะกลับมาสดใสอีกครั้งเหมือนท้องฟ้าของกรุงโซล
Photo by JUNG YEON-JE / VARIOUS SOURCES / AFP



