ปัจจุบันหน้าจอประดิษฐ์ทั้งสมาร์ทโฟน แท็ปเล็ต คอมพิวเตอร์ หรือทีวี กลายเป็นวิวหลักของชีวิตคนเมือง แถมการใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบก็เบียดบังทุกโอกาสในการหยุดมองต้นไม้ข้างทาง นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า เราอาจกำลังสูญเสียบางสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าทรัพยากรธรรมชาติ นั่นคือความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ
งานวิจัยล่าสุดของ ศาสตราจารย์ไมล์ส ริชาร์ดสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ แห่งมหาวิทยาลัยดาร์บี ในประเทศอังกฤษ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Earth เผยว่า ความรู้สึกผูกพันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติได้ลดลงมากกว่า 60% ในช่วงเวลา 200 ปีที่ผ่านมา
โดยการหายไปของคำที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติโดยตรงในหนังสือ วรรณกรรม และสื่อ มักสะท้อนภาพการลดลงของประสบการณ์ธรรมชาติในชีวิตจริงอย่างแม่นยำ ริชาร์ดสันเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “การสูญพันธุ์ของประสบการณ์” หรือ Extinction of Experience ซึ่งหมายถึงการที่ผู้คนรุ่นใหม่ไม่เพียงขาดการเข้าถึงธรรมชาติ แต่ยังขาดความเข้าใจ ความรัก และความผูกพัน ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างลึกซึ้ง

เมื่อเด็กๆ โตมากับหน้าจอ มากกว่าต้นไม้
ในอดีต คนส่วนใหญ่เติบโตท่ามกลางทุ่งหญ้า ป่าไม้ และเสียงนกร้อง แต่วันนี้เด็กจำนวนมากสัมผัสธรรมชาติผ่านภาพในจอมากกว่าประสบการณ์ตรง มีรายงานระบุว่า เด็กยุคใหม่ใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 7 นาทีต่อวัน ในการเล่นนอกบ้าน ขณะที่หน้าจอใช้เวลาหลายชั่วโมง
ไม่เพียงการใช้เวลาในธรรมชาติที่ลดลง แต่ความรู้ทางภาษาที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติก็หายไปเช่นกัน การศึกษาของริชาร์ดสันพบว่า คำธรรมชาติ เช่น “แม่น้ำ” “มอส” “ดอกไม้ป่า” ปรากฏในหนังสือลดลงต่อเนื่อง โดยจุดต่ำสุดคือในช่วงปี 1990 ที่ลดลงถึง 60.6% ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวเล็กน้อยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะเพราะได้พบเจอกับปัญหาโลกร้อนนี่แหละ
เมื่อไม่มีความผูกพัน ก็ไม่มีการปกป้อง
“เมื่อผู้คนไม่รู้สึกว่าธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พวกเขาก็จะไม่รู้สึกว่าควรปกป้องมัน”
— ริชาร์ดสัน กล่าว
ความเชื่อมโยงกับธรรมชาติไม่ใช่เรื่องนามธรรม เพราะมันมีผลโดยตรงต่อพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ตั้งแต่การสนับสนุนการอนุรักษ์ ไปจนถึงการเลือกใช้ชีวิตอย่างมีจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือ ธรรมชาติยังมีผลบวกอย่างมหาศาลต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิต ช่วยลดความเครียด เสริมสมาธิ และช่วยให้มนุษย์กลับมาสู่ความสมดุล
ปัญหาข้ามรุ่น และวงจรที่ต้องหยุดให้ได้
สิ่งที่น่ากังวลคือ การขาดการเชื่อมโยงกับธรรมชาติไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะบุคคล แต่มันเป็นวงจรที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ถ้าพ่อแม่ไม่พาลูกไปสัมผัสธรรมชาติ เด็กรุ่นใหม่ก็จะเติบโตมาโดยไม่มีฐานประสบการณ์เหล่านี้เลย ซึ่งส่งผลต่อการรับรู้ การเรียนรู้ และคุณค่าที่พวกเขาจะให้กับสิ่งแวดล้อมในอนาคต
งานวิจัยยืนยันว่า ความผูกพันของพ่อแม่กับธรรมชาติ เป็นปัจจัยที่ชี้ชัดที่สุดว่าเด็กจะโตมาใกล้ชิดกับธรรมชาติหรือไม่

เมืองต้องเขียวขึ้นกว่าที่เคยเขียว
ริชาร์ดสันได้สร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่ประเมินผลของนโยบายเชิงสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ผลลัพธ์ที่ได้น่าตกใจ
การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง 30% ยังไม่เพียงพอ เมืองอาจต้องเขียวขึ้นถึง 10 เท่า และต้องเริ่มดำเนินนโยบายเชิงโครงสร้างภายใน 25 ปีข้างหน้า หากต้องการย้อนกระแสความห่างเหินจากธรรมชาติให้กลับมาเชื่อมโยงอีกครั้งอย่างยั่งยืน
โดยเฉลี่ยแล้ว คนเมืองในสหราชอาณาจักรใช้เวลาเพียง 4 นาที 36 วินาที ต่อวันในพื้นที่ธรรมชาติ ริชาร์ดสันเสนอเป้าหมายง่ายๆ แต่ทรงพลังว่า “แค่เปลี่ยนจาก 4 นาที เป็น 40 นาทีต่อวัน นั่นอาจเพียงพอแล้วที่จะทำให้ความเชื่อมโยงกับธรรมชาติฟื้นกลับมา”
ธรรมชาติไม่ใช่ของไกลตัว แต่คือบ้านของเรา
หากเคยรู้สึกว่า “ไม่ได้เห็นดาวนานแล้ว” “จำไม่ได้ว่าเห็นผีเสื้อครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” หรือ “นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เหยียบสนามหญ้า” งานวิจัยนี้ช่วยยืนยันว่าเราไม่ใช่แค่คนเดียว และนั่นไม่ใช่ความบังเอิญ แต่มันคือภาพสะท้อนของสังคมที่กำลังหลุดออกจากระบบนิเวศและธรรมชาติอย่างเงียบๆ

คำถามสำคัญคือ เราจะปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติจริงหรือ? หากคำตอบคือ “ไม่” การเริ่มต้นไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่แบบไปแคมปิ้ง เข้าป่าล่าสัตว์ เพราะอาจเริ่มง่ายๆ แค่เดินเล่นในสวนหลังเลิกงาน ปลูกต้นไม้เล็กๆ ที่ระเบียง หรือพาลูกไปปิกนิกในสวนสาธารณะ สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของ “การเชื่อมโยง” ที่ยิ่งใหญ่
“ธรรมชาติ” ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอม แต่เป็นส่วนหนึ่งของตัวตนมนุษย์ หากเรายังต้องการความยั่งยืน ทั้งในระดับสิ่งแวดล้อม สังคม และจิตใจ เราควรเริ่มต้นด้วยการถามคำถามง่ายๆ ว่า...“วันนี้เราได้ใช้เวลากับธรรมชาติบ้างหรือยัง?”