ในขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญ 2 ประการที่อาจพลิกโฉมโครงสร้างต้นทุนและแนวทางการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ได้แก่ การบังคับใช้เต็มรูปแบบของ มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนโดยสหภาพยุโรป (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ซึ่งจะเริ่มใช้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2569 และการเตรียมออกกฎหมาย พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือรู้จักกันในชื่อ “พ.ร.บ.ลดโลกร้อน” ของไทยที่จะเริ่มใช้ในปีเดียวกัน
สองกลไกด้านกฎหมายนี้ คือสัญญาณชัดเจนว่าโลกธุรกิจไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำได้อีกต่อไป และผู้ประกอบการที่ปรับตัวไม่ทัน อาจต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หรือสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทั้งในประเทศและตลาดโลก
CBAM แรงกดดันตลาดยุโรป โอกาสหรือความเสี่ยงของธุรกิจไทย?
CBAM คืออะไร?
CBAM หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism คือมาตรการใหม่ที่สหภาพยุโรปนำมาใช้เพื่อลดการรั่วไหลของคาร์บอนจากการนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ไม่มีการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเข้มงวด โดยในระยะเริ่มต้น มาตรการนี้ครอบคลุม 6 อุตสาหกรรม ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน

ทำไมต้องมี CBAM?
ที่มาของ CBAM หรือมาตรการภาษีคาร์บอนที่เก็บจากสินค้านำเข้ามายังสหภาพยุโรป ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่า “หากคุณจะส่งสินค้าเข้ามาใน EU คุณต้องรับผิดชอบต่อการปล่อยคาร์บอนของสินค้านั้นด้วย”
สาเหตุหลักก็เพื่อป้องกันการรั่วไหลของคาร์บอน (Carbon Leakage) จากผู้ผลิตใน EU ที่ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีกฎบังคับด้านสิ่งแวดล้อมต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนคาร์บอนจากมาตรฐานในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป และส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม พร้อมกระตุ้นให้ทั่วโลกคำนึงถึง “ราคาที่ต้องจ่าย” เมื่อมีการปล่อยคาร์บอนซึ่งทำลายสิ่งแวดล้อม
โครงสร้างและการบังคับใช้ CBAM
- ระยะเปลี่ยนผ่าน (1 ต.ค. 2566 - 31 ธ.ค. 2568) ผู้นำเข้าต้องรายงาน Embedded Emissions ของสินค้า แต่ยังไม่ต้องจ่ายภาษี
- ระยะใช้งานจริง (เริ่ม 1 ม.ค. 2569) ผู้ส่งออกต้องมีใบรับรอง CBAM ส่วนผู้นำเข้าต้องซื้อ CBAM Certificate ตามปริมาณคาร์บอนของสินค้านำเข้า
หมายความว่านับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 เป็นต้นมา (ระยะเปลี่ยนผ่าน) ผู้ส่งออกที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวต้องเริ่ม “รายงาน” ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้าที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป แต่ยังไม่ต้องจ่ายภาษี และนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 “CBAM” จะเริ่มบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ผู้นำเข้าสินค้าในยุโรปจะต้องชำระค่าธรรมเนียม “ใบรับรอง CBAM” ตามปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดในผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ซึ่งเพิ่มต้นทุนในการส่งออก และภาระนี้จะถูกผลักไปยัง “ผู้ผลิต” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยประเทศที่ได้รับผลกระทบคือ ทุกประเทศนอก EU รวมถึงประเทศไทย ยกเว้นประเทศในกลุ่ม EFTA เช่น สวิตเซอร์แลนด์, นอร์เวย์ ดังนั้น ในบริบทของผู้ส่งออกไทย “ใบรับรอง CBAM” จึงไม่ใช่เงื่อนไขที่เป็นแค่ “ภาระเพิ่มขึ้น” แต่คือความท้าทายเชิงโครงสร้าง เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งจากประเทศที่มีโครงสร้างการผลิตสะอาดกว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยผลิตของไทยยังคงสูงอยู่ ทำให้เกิดความเสียเปรียบด้านต้นทุนและกลไกราคา

พ.ร.บ.ลดโลกร้อน: กฎหมายใหม่ที่กำลังจะเปลี่ยนเกมธุรกิจไทย
ขณะเดียวกัน ในปี 2569 ประเทศไทยก็มีแผนจะประกาศใช้ พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “พ.ร.บ.ลดโลกร้อน” (Climate Change Act) ซึ่งจะกลายเป็นกฎหมายฉบับแรกของประเทศที่กำหนดภาระหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรงแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีทั้งกลไกภาษีคาร์บอน การรายงานข้อมูลการปล่อย และมาตรการจูงใจต่างๆ เพื่อผลักดันให้ภาคเอกชนเข้าสู่เส้นทางความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)
สำหรับ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน แบ่งระยะเวลาการบังคับใช้ออกเป็น 3 เฟส ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ ซึ่งรวมกันมีมูลค่ากว่า 6.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 37% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ดังนี้
- เฟสแรก จะเริ่มต้นในปี 2569 โดยเน้นไปที่อุตสาหกรรมหลักอย่าง ภาคการขนส่ง พลังงาน สาธารณูปโภค และกลุ่มโลหะ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงและมีโครงสร้างการผลิตขนาดใหญ่ คาดว่ามีมูลค่าอุตสาหกรรมรวมกว่า 1.7 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10% ของ GDP
- เฟสที่ 2 จะขยายขอบเขตไปยังอุตสาหกรรม ปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ พลาสติก การขุดถ่านหิน และยางพารา กลุ่มนี้ล้วนมีบทบาทสำคัญในภาคการผลิตและการส่งออกของไทย โดยคาดว่าจะได้รับผลกระทบในระดับเดียวกัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท หรืออีก 10% ของ GDP
- เฟสที่ 3 ครอบคลุมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและห่วงโซ่อุปทานโดยตรง ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม อาหารและเครื่องดื่ม คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุตสาหกรรมการจัดการของเสีย ซึ่งจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในแง่มูลค่ารวม คาดว่ามีมูลค่ากว่า 3.02 ล้านล้านบาท หรือราว 17% ของ GDP
การแบ่งเฟสดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีเวลาเตรียมความพร้อมในการวัดและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตน รวมถึงหามาตรการลดคาร์บอนในกระบวนการผลิต เพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษีคาร์บอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญยังอยู่ที่ระดับความตระหนักของภาคเอกชน ซึ่งยังมีจำนวนมากที่ยังไม่เริ่มต้นจัดทำข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินท์ หรือวางแนวทางปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ท่ามกลางแรงกดดันจากมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป และกรอบกฎหมายภายในประเทศที่กำลังจะบังคับใช้อย่างเข้มงวด
พ.ร.บ.โลกร้อนนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่กฎหมายสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ “ความยั่งยืน” พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่ปรับตัวได้เร็ว สร้างแต้มต่อทางธุรกิจผ่านการลดต้นทุนคาร์บอน และการเข้าถึงตลาดโลกในยุคที่ความยั่งยืนคือข้อได้เปรียบใหม่
สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องตระหนักคือ การบังคับใช้กฎหมายนี้จะไม่ได้กระทบเฉพาะรายใหญ่หรืออุตสาหกรรมปลายน้ำ แต่จะลงลึกถึงระดับห่วงโซ่อุปทาน โดยผู้ผลิตรายใหญ่จะต้องขอข้อมูลการปล่อยก๊าซจากซัพพลายเออร์ เพื่อรวมไว้ในการรายงานขององค์กรตนเอง ส่งผลให้ผู้ประกอบการทุกขนาดต้องเข้าสู่กระบวนการวัดและจัดการคาร์บอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความเสี่ยงเชิงธุรกิจ และโอกาสในการเปลี่ยนผ่าน
สิ่งที่น่ากังวลคือ ปัจจุบันยังมีผู้ประกอบการไทยจำนวนมากที่ไม่ตระหนักถึงผลกระทบซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น ทั้งในแง่ของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการเสียภาษีคาร์บอน และความเสี่ยงด้านความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ หลายองค์กรยังไม่เริ่มเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือขาดความเข้าใจในแนวทางการลดการปล่อยอย่างเป็นระบบ
ในอีกมุมหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ก็ไม่ใช่ความเสี่ยง แต่กลับเป็น “โอกาส” สำหรับองค์กรที่พร้อมปรับตัว การลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต และการใช้เครื่องมือวัดคาร์บอนอย่างถูกต้อง ไม่เพียงช่วยลดภาระภาษี แต่ยังสามารถสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตในตลาดสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) กระตุ้นให้ไทยเข้าสู่การเป็น “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” พร้อมเปิดตลาดใหม่ให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งยังส่งเสริมความร่วมมือภาครัฐ เอกชน การเงิน เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero
“การปรับตัว” คือเงื่อนไขการอยู่รอด
การรับมือกับ CBAM และ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน จำเป็นต้องใช้แนวทางเชิงรุกไม่ใช่เพียงตั้งรับ โดยองค์กรต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจสถานะของตนเองผ่านการวัด Carbon Footprint ทั้งในระดับองค์กร (CFO) และผลิตภัณฑ์ (CFP) จากนั้นจึงวางแผนลดก๊าซเรือนกระจกผ่านเทคโนโลยีและมาตรการที่เหมาะสม พร้อมทั้งประเมินโอกาสในการเข้าร่วมโครงการลดก๊าซ เช่น T-VER โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ, LESS โครงการส่งเสริมการลดก๊าซ, Carbon Credit Broker การซื้อขายเครดิตคาร์บอน และ Carbon Footprint Platform เทคโนโลยีจัดการคาร์บอนเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
เมื่อแนวทางของโลกกำลังมุ่งสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างชัดเจน ประเทศและองค์กรใดที่ปรับตัวได้ก่อน ย่อมได้เปรียบ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือ แต่สำหรับผู้ที่เพิกเฉย ความเปลี่ยนแปลงนี้อาจหมายถึงต้นทุนมหาศาล การสูญเสียตลาด หรือแม้แต่การถูกคัดออกจากห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
ดังนั้น CBAM และ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน จึงเป็นบทพิสูจน์ศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยว่าจะสามารถยืนหยัดบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ ในยุคที่ “ความยั่งยืน” ไม่ใช่เพียงค่านิยม แต่คือเงื่อนไขของการอยู่รอดทางธุรกิจอย่างแท้จริง