การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดของโลกก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในปีนี้ เมื่อพลังงานหมุนเวียนอย่างแสงอาทิตย์และลมสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าถ่านหินเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก นับเป็นความคืบหน้าสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน
อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดจากองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) กลับเตือนว่า เป้าหมายที่โลกกำหนดไว้ในเวที COP28 ที่ดูไบเมื่อปี 2023 อาจไม่สามารถบรรลุได้ หากประเทศมหาอำนาจยังคงเดินหน้าด้วยนโยบายที่ย้อนแย้งต่อทิศทางพลังงานสะอาด
โซลาร์พุ่งทะยาน พลังงานหมุนเวียนแซงถ่านหินครั้งแรก
รายงานจาก Ember หน่วยงานวิเคราะห์ด้านพลังงาน เปิดเผยว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเป็น 34.3% ขณะที่ถ่านหินลดลงมาอยู่ที่ 33.1% และก๊าซธรรมชาติทรงตัวที่ 23%
พลังงานแสงอาทิตย์เติบโตสูงสุดถึง 31% ภายในเวลาเพียง 6 เดือน ขณะที่พลังงานลมขยายตัว 7.7% โดยนักวิเคราะห์มองว่านี่คือ “จุดเปลี่ยนที่แท้จริง” ของระบบไฟฟ้าโลก
“โซลาร์และลมกำลังเติบโตเร็วพอที่จะตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของโลก นี่คือจุดเริ่มต้นของการที่พลังงานสะอาดสามารถเติบโตควบคู่ไปกับเศรษฐกิจ”
— มัลกอร์ซาตา เวียโทรส-โมติกา นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Ember กล่าว
เป้าหมายดูไบ 2030 อาจไม่สำเร็จ
องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) เผยว่าโลกจะ “ไม่สามารถบรรลุ” เป้าหมายที่กำหนดไว้ในการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติที่ดูไบในปี 2023 ซึ่งกำหนดให้เพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนเป็น 3 เท่าภายในปี 2030
IEA ปรับลดประมาณการจาก 5,500 กิกะวัตต์ เหลือ 4,600 กิกะวัตต์ หรือเพียง 2.6 เท่าของระดับปี 2022 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย กฎระเบียบ และตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024
ในสหรัฐฯ รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกเลิกเครดิตภาษีสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนก่อนกำหนด และเข้มงวดด้านการอนุมัติโครงการมากขึ้น พร้อมแสดงจุดยืนคัดค้านแนวทางสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน โดยระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น “การหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” และพลังงานสะอาดเป็น “เรื่องตลกที่ใช้งานไม่ได้”
ในจีน การยุติระบบอัตราค่าไฟคงที่ (Feed-in Tariffs) และเปลี่ยนมาใช้ระบบประมูลแข่งขัน ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดลดลง และความไม่แน่นอนทางตลาดเริ่มก่อตัว
อินเดีย-ตะวันออกกลางขึ้นแท่นผู้นำใหม่พลังงานสะอาด
ท่ามกลางความผันผวนในประเทศมหาอำนาจ โลกยังพอมองเห็นแสงสว่างจากตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะ อินเดีย ซึ่งกำลังเร่งขยายกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง และมีแนวโน้มจะบรรลุเป้าหมายในปี 2030
IEA ประเมินว่าอินเดียจะกลายเป็น ตลาดการเติบโตของพลังงานหมุนเวียนใหญ่อันดับสองของโลก ภายใน 5 ปี ด้วยอัตราการขยายกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นถึง 2.5 เท่า
นอกจากนี้ ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ยังได้รับการปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตขึ้นอีก 25% สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในพื้นที่ที่เคยพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก
ในยุโรปบางประเทศ อย่างเยอรมนี อิตาลี โปแลนด์ และสเปน ก็ได้รับการปรับเพิ่มแนวโน้มการเติบโตเช่นกัน ส่วนพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเป็นแกนหลัก โดยคิดเป็น 80% ของการเติบโตพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ความท้าทายบนเส้นทางสู่ SDGs
ความคืบหน้าและความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดล้วนมีนัยสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยเฉพาะ SDG เป้าหมายที่ 7: พลังงานสะอาดที่เข้าถึงได้ และ เป้าหมายที่ 13: การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
แม้พลังงานหมุนเวียนจะเติบโตอย่างน่าจับตา แต่หากขาดความต่อเนื่องด้านนโยบาย การลงทุน และความร่วมมือระดับโลก เป้าหมายในการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส อาจเป็นเพียงคำมั่นที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง



