สัมภาษณ์พิเศษ: ปัณณ์พิตรา คนที่กล้าต่อกรกับ Fast Fashion

9 ธ.ค. 2568 - 23:01

  • ปัณณ์พิตรา คนรุ่นใหม่จากร้อยเอ็ด ชวนเยาวชนขบคิดเรื่องการบริโภคเกินจำเป็น เสื้อผ้ามือสอง และใช้ไอเดียสร้างสรรค์เพื่อให้ทุกตัวเลือกของเราเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  • แฟชั่นทุกตัวคือการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อม และทุกพฤติกรรมการบริโภคมีผลต่อสภาพภูมิอากาศ

  • ข้อเรียกร้องตรงไปตรงมา “ซื้อน้อย ใช้ซ้ำ ดัดแปลง” การกระทำเล็กๆ ที่สามารถเปลี่ยนระบบแฟชั่นและโลกได้

สัมภาษณ์พิเศษ: ปัณณ์พิตรา คนที่กล้าต่อกรกับ Fast Fashion

เราจะส่งต่อโลกหน้าตาแบบไหนให้คนรุ่นถัดไป...?

คำถามตัวโตๆ ที่โผล่แวบในหัวทุกครั้งที่เราเขียนรายงานข่าวมุมลบ หรือต้องเขียนถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แต่ครั้งนี้แตกต่างไป เพราะมีคนรุ่นใหม่มาจุดไฟเรื่อง “รักษ์โลก” ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับ “ปัณณ์พิตรา ภูธร” คนที่ถักทอการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับการใช้ชีวิตประจำวัน

ปัณณ์พิตรา ภูธร
ปัณณ์พิตรา ภูธร


ในวัย 22 ปี ปัณณ์พิตรา ภูธร ไม่ได้เป็นเพียงบัณฑิตจบใหม่ แต่กำลังก้าวสู่การเป็นนักเปลี่ยนแปลงที่พยายามชวนคนรุ่นใหม่ให้มองเห็นว่า “แฟชั่นที่เราสวมใส่ทุกวัน คือประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศเช่นกัน” ในฐานะหนึ่งในเยาวชนที่ร่วมแคมเปญ #CountMeIn ของยูนิเซฟ ประเทศไทย ปัณณ์พิตราไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงดังก้าวร้าว ทว่า เธอพูดด้วยความหนักแน่นจากประสบการณ์ตรง บนเส้นทางจากหมู่บ้านเกษตรกรเล็กๆ ในจังหวัดร้อยเอ็ด สู่การเป็นนักรณรงค์ที่ปูพื้นจากความเข้าใจง่าย ๆ ที่ว่า “เสื้อผ้าที่เราเลือกสวมใส่ล้วนส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศ”

ดินแดนอีสานอันร้อนแล้งและปากท้อง

ปัณณ์พิตรา เติบโตในอำเภอปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด พื้นที่ภาคอีสานอันร้อนแล้งของประเทศไทย ซึ่งกำลังเผชิญผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวนที่ส่งผลต่อวิถีทำมาหากินของผู้คนอย่างชัดเจน ครอบครัวของเธอก็ไม่ต่างจากครอบครัวอีกมากมายในพื้นที่ ที่ต้องพึ่งพาการทำนาปีละครั้ง โดยอาศัยน้ำฝนที่ยุคนี้สมัยนี้ไม่ค่อยตกตามฤดูกาล

เมื่อฝนฟ้าไม่เป็นใจ บ้างตกไม่ตรงตามฤดูกาลหรือบางที่ก็ตกหนักเกินไป ผลกระทบก็เกิดขึ้นทันที ปีแล้วปีเล่าที่ข้าวเน่าเสีย บางปีผลผลิตน้อยจนแทบไม่คุ้มทุน สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คนของเธอ “การอยู่รอด” หมายถึงการต้องปรับตัวตลอดเวลา แม่ของเธอต้องทำทั้งงานเกษตรกรรมและขายประกันชีวิต ส่วนพี่สาวต้องออกไปทำงานที่ภาคตะวันออกเพื่อช่วยส่งเงินกลับบ้าน ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่แค่เรื่องอุณหภูมิหรืออากาศ แต่เป็นเรื่องของ “ปากท้อง”

sustainability-panpitra-fight-fast-fashion-SPACEBAR-Photo03.jpg

ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมของปัณณ์พิตรา เริ่มลึกซึ้งขึ้นจากความสนใจด้านแฟชั่นตอนแธอเป็นวัยรุ่น เธอหลงรัก “เสื้อผ้ามือสอง” เพราะมีสไตล์และราคาไม่แพง แต่เมื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เธอเริ่มเข้าใจถึงต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่แฝงอยู่ในอุตสาหกรรมแฟชั่น

“ทุกสิ่งที่เราเลือกในฐานะผู้บริโภคต่างก็ส่งผลลัพธ์ในภาพรวม” เธอกล่าว และตอนนี้เธอกำลังถักทอสารนี้ให้กลายเป็นการลงมือจริงด้านสภาพภูมิอากาศ

โครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่รัฐแอริโซนา สหรัฐฯ ในปี 2567 เปิดโอกาสให้เธอเข้าใจประเด็นนี้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ที่นั่นเธอเห็นผู้คนบริจาคเสื้อผ้าให้กับคนไร้บ้าน ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เธอเปลี่ยนตู้เสื้อผ้าของตัวเองให้เป็นพื้นที่สร้างการตระหนักรู้ เมื่อกลับมาไทย เธอเริ่มแบ่งปันเสื้อผ้ามือสองให้เพื่อนๆ ยืม พร้อมชวนกันเปิดบทสนทนาเกี่ยวกับ “การบริโภคที่เกินจำเป็น” และ “ความยั่งยืน”

ปัณณ์พิตรา ภูธร คนที่กล้าต่อกรกับ Fast Fashion
ปัณณ์พิตรา ภูธร คนที่กล้าต่อกรกับ Fast Fashion

ไม่นานหลังจากนั้น การรณรงค์ของเธอก็ขยายออกนอกรั้วมหาวิทยาลัย เมื่อได้รับเลือกเข้าร่วมโครงการผู้นำเยาวชนอีสาน ปัณณ์พิตราเริ่มขึ้นเวทีพูดในงานเยาวชนและเวทีด้านสิ่งแวดล้อมหลายแห่ง ตั้งแต่หัวข้อ “Fast Fashion: W.E.A.R. Solutions” ไปจนถึง “From Water Bottles to Eco-Friendly Clothes” เพื่อชวนผู้ฟังทบทวนพฤติกรรมของตัวเอง หนึ่งในบทพูดที่ผู้คนจำได้คือคำถามเชิงขบขันว่า “ถ้าเราเลิกใส่เสื้อผ้า...โลกจะดีขึ้นไหม?” ซึ่งไม่ใช่คำชวนเปลือยกาย แต่มุ่งให้ผู้คนย้อนคิดถึงการบริโภคเกินจำเป็นและขยะที่ตามมา

“Fast Fashion มันเป็นเรื่องของกระแสมากกว่าความจำเป็น เสื้อผ้าถูกผลิตเร็ว ราคาถูก และถูกเปลี่ยนหรือทิ้งอย่างรวดเร็ว คนงานได้รับค่าแรงต่ำ แต่มันมีราคาที่ต้องจ่าย สิ่งแวดล้อมได้รับผลกระทบจากเส้นใยสังเคราะห์ สีย้อมผ้าที่เป็นพิษ และการใช้พลังงานมหาศาล”

ปัณณ์พิตรา อธิบาย พร้อมเผยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงปัญหาเชิงอุตสาหกรรม แต่คือรูปแบบความคิดอย่างหนึ่ง

รายงานของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ปี 2567 ชี้ว่า อุตสาหกรรมแฟชั่นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็นเกือบร้อยละ 10 ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งมากกว่าการปล่อยจากเที่ยวบินระหว่างประเทศและการขนส่งทางเรือรวมกัน

นอกจากนี้ ยังมีการประเมินว่า เสื้อผ้าเก่าถูกนำกลับมารีไซเคิลเป็นชิ้นใหม่ไม่ถึงร้อยละ 1 ขณะที่ส่วนใหญ่ถูกฝังกลบหรือเผาทิ้ง ส่งผลให้ปริมาณขยะและมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้น

สำหรับปัณณ์พิตรา คำตอบนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง คือ... “ซื้อน้อยลง ใช้ซ้ำให้มากขึ้น และดัดแปลงของเดิมให้ใช้ได้อีกครั้ง”

เธอย้ำว่า “เสื้อผ้าที่เรามีอยู่แล้วก็มากพอ หากจำเป็นต้องซื้อใหม่ ควรเลือกเสื้อผ้ามือสอง หรือสนับสนุนสินค้าที่สนับสนุนความยั่งยืน เช่น ยี่ห้อที่ใช้วัสดุรีไซเคิล ผ้าเหลือใช้ หรือสีย้อมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”

แต่อย่างที่เธอตระหนักดี การกระทำของแต่ละคนมีขีดจำกัด หากระบบไม่เอื้อให้เกิดทางเลือกที่ยั่งยืน เช่น แม่ค้าริมทางอาจต้องการลดปริมาณการใช้พลาสติก แต่ลูกค้ากลับคาดหวังความสะดวกรวดเร็วในบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วทิ้ง “ระบบของเราไม่ได้ช่วยให้ผู้คนตัดสินใจอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เธอกล่าว

หากเธอสามารถออกแบบระบบใหม่ได้ เธออยากทำให้ความยั่งยืนกลายเป็นเรื่องปกติ “หนูจะกำหนดให้ทุกแบรนด์ต้องผลิตเสื้อผ้าจากวัสดุรีไซเคิล” เธอกล่าวอย่างหนักแน่น

“เราควรเปิดพื้นที่และสนับสนุนทุนให้กับธุรกิจขนาดเล็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ เมื่อคนดังหรืออินฟลูเอนเซอร์หันมาใส่เสื้อผ้ายั่งยืน มันจะเปลี่ยนสิ่งที่ผู้คนให้คุณค่า และทำให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับตาม”

ปัณณ์พิตรา

ความเชื่อที่ว่า การกระทำของแต่ละคนสามารถจุดประกายการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ คือหัวใจของขบวนการที่เธอร่วมเป็นส่วนหนึ่ง แคมเปญ #CountMeIn ที่ยูนิเซฟ ประเทศไทยเปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายน เพื่อขยายพลังเยาวชนด้านสภาพภูมิอากาศ สอดคล้องกับข้อความของปัณณ์พิตราที่ว่าเยาวชนควรมีพื้นที่ในการตัดสินใจและมีเครื่องมือในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในชุมชนของตนเอง

sustainability-panpitra-fight-fast-fashion-SPACEBAR-Photo04.jpg

รายงานของยูนิเซฟ Between Generations, One Planet เป็นฐานข้อมูลสำคัญ แคมเปญนี้ชี้ให้เห็นว่า เด็กและเยาวชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายขอบ ต้องเผชิญผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศหนักที่สุด แต่กลับถูกกันออกจากกระบวนการตัดสินใจ และเรียกร้องให้มีการลงทุนในผู้นำเยาวชน รวมถึงการคุ้มครองนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

“เด็กๆ ต้องมีส่วนร่วมในบทสนทนาเรื่องนี้ เพราะมันคืออนาคตของพวกเรา”

ปัณณ์พิตรา กล่าว

แม้เสียงของเธอจะดังขึ้น แต่ภารกิจของเธอยังคงเรียบง่ายและคงรูปแบบความใกล้ตัว “เสื้อผ้าดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา จนผู้คนมองไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหา แต่เมื่อเสื้อผ้าถูกทิ้งหรือเผา มันปล่อยสารพิษ ไมโครพลาสติก และก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสุดท้ายก็ย้อนกลับมาหาเรา ทั้งในอากาศที่หายใจ ในน้ำที่ดื่ม และในอาหารที่กิน”

จากหมู่บ้านเล็กๆ สู่การเป็นนักรณรงค์ เส้นทางของปัณณ์พิตราสะท้อนว่า การลงมือทำด้านสภาพภูมิอากาศไม่จำเป็นต้องเริ่มจากห้องประชุมใหญ่หรือเวทีโลกเสมอไป บางครั้งมันเริ่มจากสิ่งธรรมดาที่สุด จากเยาวชนคนหนึ่ง จากชุดมือสองหนึ่งชุด และจากความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนโลก

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์


สัมภาษณ์พิเศษ: ปัณณ์พิตรา คนที่กล้าต่อกรกับ Fast Fashion