สัมภาษณ์พิเศษ ‘ไครียะห์ ระหมันยะ’ ลูกสาวแห่งท้องทะเล

22 ต.ค. 2568 - 01:26

  • ฟังเสียงเด็กจะนะ ผ่าน “ไครียะห์ ระหมันยะ” เยาวชนริมทะเลที่ไม่ยอมจำนนต่อคลื่นอุตสาหกรรม

  • จากความกลัวและการต่อสู้เพื่อปากท้อง สู่แรงผลักดันปกป้องท้องทะเล ชุมชน และโลก เพื่อทวงคืนความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศ

สัมภาษณ์พิเศษ ‘ไครียะห์ ระหมันยะ’ ลูกสาวแห่งท้องทะเล

“ออกไปหน้าบ้านก็เจอทะเล เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงทะเล...สิ่งที่เรากลัวที่สุดตอนแรก คือกลับบ้านมาแล้วจะไม่มีอาหารทะเลให้กินอีกแล้ว” ไครียะห์ ระหมันยะ

ในอำเภอจะนะ จังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทย ทะเลอยู่ใกล้แค่เอื้อม

“ออกไปหน้าบ้านก็เจอทะเล เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงทะเล” ไครียะห์ ระหมันยะ วัยรุ่นสาวชาวจะนะ อายุ 23 ปี พูดด้วยรอยยิ้ม

เธอยังจำได้ดีว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก เคยนั่งทำการบ้านแล้วเงยหน้าขึ้นไปเห็นโลมากระโดดอยู่ไกลๆ กลางผืนน้ำ สำหรับไครียะห์ ทะเลไม่เคยเป็นแค่เพียงภาพวิวอันสงบงามแต่เป็นเสมือนส่วนหนึ่งของครอบครัว

วิถีชีวิตชาวจะนะ ที่อาศัยอยูริมทะเล
วิถีชีวิตชาวจะนะ ที่อาศัยอยูริมทะเล

พ่อของเธอเป็นชาวประมงชายฝั่ง มีเรือลำเล็กๆ เหมือนกับผู้ชายหลายคนในหมู่บ้าน ส่วนแม่มีหน้าที่นำอาหารทะเลที่พ่อจับได้ไปขายในตลาด จังหวะชีวิตในวัยเด็กของไครียะห์ดำเนินไปตามจังหวะน้ำขึ้นน้ำลงและการเปลี่ยนผ่านของฤดูกาล

“เรายังรู้สึกพิเศษกับธรรมชาติที่บ้านเกิดเสมอ” เธอกล่าว

แต่ความงดงามที่เคยคุ้นกลับค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา การเข้ามาของเรือประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่ออาชีพประมงขนาดเล็กของชาวบ้าน โรงไฟฟ้านำมาซึ่งมลพิษ การทำปากร่องน้ำทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง แนวปะการังหลากสีถูกฟอกขาว หรืออุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้สัตว์น้ำต้องอพยพลงสู่ทะเลลึกเกินกว่าที่เรือประมงพื้นบ้านขนาดเล็กจะเข้าถึงได้

ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่แค่ความเปลี่ยนแปลงทาง “สิ่งแวดล้อม” หากแต่คือการเปลี่ยนแปลง “วิถีชีวิต” ของเธออย่างลึกซึ้ง

ประสบการณ์เหล่านี้เองที่หล่อหลอมให้ไครียะห์ กลายเป็นหนึ่งในนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมรุ่นเยาว์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย และในปีนี้เธอยังเป็นหนึ่งในเสียงหลักของแคมเปญ #CountMeIn 2025 โดยองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ซึ่งมุ่งเน้นการสนับสนุนบทบาทของเยาวชนในการขับเคลื่อนประเด็นวิกฤตสภาพภูมิอากาศ พร้อมเรียกร้องให้สังคมหันมาเห็นคุณค่าและสนับสนุนพลังของเยาวชนแนวหน้าอย่างจริงจังยิ่งขึ้น

ตอนที่เธอเริ่มเข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เธอถึงได้รู้ว่าทะเลที่เธอหวงแหนกำลังเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

"ละหมาด" การปฏิบัติศาสนกิจที่เปรียบดั่งเสาหลักของศาสนาอิสลาม
"ละหมาด" การปฏิบัติศาสนกิจที่เปรียบดั่งเสาหลักของศาสนาอิสลาม

“สิ่งที่เรากลัวที่สุดในตอนแรกคือ จะไม่มีอาหารทะเลให้กินอีกแล้ว” ความกลัวที่จุดประกายความกล้า

เธอเล่าพลางหัวเราะว่าความกลัวที่ไม่มีอาหารทะเลบนโต๊ะตอนกลับบ้านอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันสะท้อนถึงปัญหาที่ลึกซึ้งกว่า สำหรับครอบครัวที่พึ่งพาทะเล การสูญเสียอาหารเหล่านี้ หมายถึงการทำลายทะเลทั้งหมด

การเคลื่อนไหวของเธอจึงเริ่มต้นขึ้นจากความรู้สึกช็อกในช่วงวัยรุ่น เมื่อได้ทราบว่าโครงการนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ซึ่งรวมถึงท่าเรือน้ำลึกและเขตอุตสาหกรรม จะเข้ามากวาดล้างที่ดินของครอบครัว ทั้งบ้านและชุมชน สวนแตงโมของพ่อ และกุโบร์ที่ฝังศพพี่สาวที่จากไปให้พ้นจากพื้นที่ในนามของ “ความเจริญ”

“เราโกรธมาก คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง”

เธอนึกถึงการร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้าน ในตอนแรกมันคือการรับฟัง เธอเริ่มด้วยการเดินไปเคาะประตูบ้านทีละหลังเพื่อเก็บรวบรวมภูมิปัญญาพื้นบ้าน เช่น เทคนิคการจับปลา เราอยากเชื่อมโยงกับชีวิตคนกับธรรมชาติ พร้อมเล่าถึงการจัดตั้ง ห้องเรียนภูมิปัญญาลูกทะเล เวิร์กช็อปที่เปิดพื้นที่ให้คนในชุมชนมาแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ที่สั่งสมกันมารุ่นสู่รุ่น

ขณะนั้นเธอยังเรียนมัธยม เธอเคยใส่ชุดนักเรียนไปสอบตอนเช้า และขอกลับก่อนเวลาเพื่อเปลี่ยนชุดไปเข้าร่วมประชุมรับฟังความคิดเห็นในช่วงบ่าย แต่ใช่ว่าทุกคนจะคิดว่าเธอจริงจังกับสิ่งที่เธอทำ

"ถึงจะเป็นเด็ก แต่เราดื่มกินอยู่กับฐานทรัพยากรที่บ้าน หายใจอากาศบริสุทธิ์ เลยมีสิทธิที่จะปกป้อง”
"ถึงจะเป็นเด็ก แต่เราดื่มกินอยู่กับฐานทรัพยากรที่บ้าน หายใจอากาศบริสุทธิ์ เลยมีสิทธิที่จะปกป้อง”

“เคยมีคนบอกเราว่า จุ้นจ้านน่ะ เป็นเด็กก็ไปตั้งใจเรียนไป” เธอเล่า

เราได้แต่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรกลับไปต่อหน้า แต่พูดกับสาธารณะว่า “ถึงจะเป็นเด็ก แต่เราดื่มกินอยู่กับฐานทรัพยากรที่บ้าน หายใจอากาศบริสุทธิ์ เลยมีสิทธิที่จะปกป้อง”

เธอเดินบนเส้นทางสองโลกนั้นไปพร้อมกัน ตั้งใจเรียนหนังสือ และพูดและลงมือทำเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม ครูและเพื่อนร่วมชั้นต่างให้การสนับสนุน เมื่อเวลาผ่านไปแม้แต่คนที่เคยตั้งแง่ก็เริ่มฟังเธอมากขึ้น ในปี 2563 เมื่อการรับฟังความคิดเห็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางนั้นกลับกันชุมชนส่วนใหญ่ถูกกันออก ไครียะห์และกลุ่มผู้ประท้วงจึงนั่งประท้วงอย่างสงบหน้าศาลากลางจังหวัดสงขลา

การประท้วงครั้งนั้นได้รับความสนใจจากทั่วประเทศ จนกระทั่งรัฐบาลสั่งชะลอโครงการ พร้อมสั่งให้ทำการศึกษาผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ หรือ SEA (Strategic Environmental Assessment

“เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองชนะ แค่รู้สึกว่าไม่โดดเดี่ยว”

วันนี้ ภารกิจของไครียะห์ขยายออกไปไกลเกินกว่าแค่พื้นที่อำเภอจะนะ ผ่านการทำงานกับโครงการ Thai Climate Justice for All ของมูลนิธิชุมชนท้องถิ่น เธอมีบทบาทในการประสานงานกับชุมชนเมืองที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลุ่มคนรายได้น้อยที่ไม่ได้มีทางเลือกมากนักได้ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับน้ำท่วม ความร้อน และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างเจ็บปวด

“จุดที่พวกเขาเหมือนกับเราคือ เวลาเขาพูดแล้วเสียงไม่ดัง ไม่ได้ต่างจากเราในอดีตเลย”

สำหรับไครียะห์ ความยุติธรรมด้านสภาพภูมิอากาศนั้นแยกไม่ออกจากสิทธิมนุษยชน

“ผู้ใหญ่มักมองว่าเยาวชนยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ แต่เราใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ และเราจะอยู่ที่นี่ไปอีกนาน นานกว่าคนที่มีอำนาจจากไปแล้วเสียอีก”

สำหรับแคมเปญ #CountMeInอ้างอิงข้อมูลจากรายงานของยูนิเซฟ Between Generations, One Planet ซึ่งย้ำเตือนให้เห็นถึงความเป็นจริงข้อนี้ รายงานชี้ว่าเด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  แต่ความต้องการและเสียงของพวกเขามักถูกมองข้ามและไม่ถูกรับฟัง แม้ว่าเยาวชนเหล่านี้จะเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวในระดับชุมชน โดยเฉพาะในกลุ่มที่เปราะบาง พวกเขายังต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนทุนทรัพย์ การถูกกีดกันออกจากกระบวนการตัดสินใจ และความเสี่ยงต่างๆ แคมเปญนี้จึงเรียกร้องให้มีการลงทุนอย่างจริงจังในผู้นำเยาวชนและการปกป้องนักกิจกรรมรุ่นใหม่ทั่วประเทศ

ไครียะห์ ระหมันยะ
ไครียะห์ ระหมันยะ

เมื่อไม่นานมานี้ ไครียะห์ได้ร่วมจัดงานประจำปี “อะโบ๊ยหม๊ะ” ซึ่งปีนี้จัดขึ้นในอำเภอจะนะเป็นปีที่ 11 เทศกาลนี้เติบโตจากการประท้วงจนกลายเป็นประเพณีข้ามรุ่นที่รวมเอาการเฉลิมฉลองอาหารท้องถิ่นและวิถีชีวิตชายฝั่งเข้าไว้ด้วยกัน ในช่วงก่อนถึงวันงาน บ้านของเธอเต็มไปด้วยเด็กๆ ที่มารวมตัวกันวาดภาพสัตว์ทะเลและเตรียมชุดสำหรับพิธีเปิดงาน

แต่ความท้าทายยังคงดำเนินต่อไป ชาวประมงจับปลาได้น้อยลง พายุทวีความรุนแรงขึ้น และน้ำท่วมสูงกว่าที่เคยมี

“เราเคยคิดว่าหลังคาบ้านเราสูงพอแล้ว แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่ายังไม่พอ”

อย่างไรก็ตาม ความหวังกลับเพิ่มขึ้นในทุกปี มีทั้งความตระหนัก ความกล้าหาญ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้น ไครียะห์ได้รับแรงบันดาลใจจากความเชื่อและชุมชนของเธอ เธอยึดมั่นในความหวัง ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึก แต่เป็นการลงมือทำ

“มนุษย์ตื่นเช้ามามีอากาศบริสุทธิ์ไว้หายใจ

เราต้องขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสได้หายใจ

ขณะเดียวกัน เรายังมีหน้าที่ในการดูแลธรรมชาติด้วย” ไครียะห์ กล่าวทิ้งท้าย พร้อมเข้าใจดีว่าเธอกำลังต่อสู้เพื่ออะไร

อ้างอิง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์