ฮ่องกงเผชิญฝนตกหนักที่สุดในเดือนสิงหาคม นับตั้งแต่ปี 1884 โดยปริมาณฝนสะสมสูงถึง 350 มิลลิเมตร ภายในเวลาเพียงครึ่งวัน ส่งผลให้โรงเรียน ศาล และคลินิกในโรงพยาบาลทั่วเมืองต้องปิดทำการ ขณะที่เจ้าหน้าที่อุตุนิยมวิทยาต้องขยายการเตือนพายุฝนระดับสูงสุด หรือ Black Rainstorm
การเตือนภัย Black Rainstorm คืออะไร?
ข้อมูลจาก ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุว่า การเตือนภัย Black Rainstormจะประกาศเมื่อฝนตกเกิน 70 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง โดยปกติฮ่องกงประกาศเพียง 3 ครั้งต่อปี แต่ในรอบ 8 วันที่ผ่านมา มีการประกาศฝนทมิฬถึง 4 ครั้ง ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศในฮ่องกง รายงานว่าช่วงเวลา 06.00-06.59 น. (วานนี้) มีฟ้าแลบราว 10,000 ครั้งในฮ่องกง และปริมาณน้ำฝนสูงถึง 90 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง
ฝนตกหนักครั้งนี้เกิดขึ้นหลังน้ำท่วมฉับพลันทางตอนใต้ของจีน เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 รายในมณฑลกวางตุ้ง และเจ้าหน้าที่ต้องใช้กำลังกว่า 1,300 คน ในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย นอกจากนี้ สถานีโทรทัศน์ CCTV รายงานว่าแม่น้ำ 4 สายในมณฑลกวางตุ้งมีระดับน้ำสูงจนเสี่ยงต่อการเอ่อล้นตลิ่ง
บริบทสภาพอากาศและเศรษฐกิจ
นักอุตุนิยมวิทยาเชื่อมโยงเหตุการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้ความถี่และความรุนแรงของพายุในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพิ่มขึ้น ฮ่องกง มณฑลกวางตุ้ง และมาเก๊า เป็นแกนกลางของ Greater Bay Area โครงการพัฒนาเศรษฐกิจหลักของจีน การหยุดชะงักของการคมนาคมและโลจิสติกส์ รวมถึงการปิดโรงพยาบาลและศาล ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
สนามบินฮ่องกงยังคงเปิดทำการ แต่เที่ยวบินล่าช้าและยกเลิกประมาณ 20% ของเที่ยวบินในภูมิภาค ขณะที่สะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊าถูกลดความเร็วเพื่อความปลอดภัย
สถิติและสัญญาณความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่
- ฮ่องกงได้รับฝนเฉลี่ยปีละ 2,200 มิลลิเมตร โดยมากกว่าครึ่งมักตกระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม
- การออกเตือนพายุฝนระดับ “สีดำ” ครั้งที่ 4 ในรอบ 8 วัน ทำลายสถิติการออกเตือนสูงสุดของเมืองภายใน 1 ปี
- น้ำท่วมรุนแรงและฝนตกหนักซ้ำหลายครั้ง เป็นสัญญาณของสภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) ที่เกิดขึ้นบ่อยขึ้น
เหตุการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงที่ฮ่องกง กำลังสะท้อนความเสี่ยงเชิงระบบต่อเมืองใหญ่และเขตเศรษฐกิจสำคัญ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และสภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather) ไม่เพียงเพิ่มความถี่และความรุนแรงของน้ำท่วม แต่ยังส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐาน โรงพยาบาล ระบบการศึกษา และเศรษฐกิจท้องถิ่น
ในเชิงนโยบาย การเตรียมความพร้อม การจัดการน้ำ และระบบเตือนภัย ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดผลกระทบ โดยเฉพาะในเขตเมืองหนาแน่นและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น Greater Bay Area การปรับตัวด้านสาธารณูปโภคและการวางแผนเมืองอย่างยั่งยืนจึงเป็นเรื่องจำเป็นต่อ ความปลอดภัยและความยั่งยืนของประชากรในอนาคต