รายงาน WMO Climate Update ชี้ชะตาอนาคตภัยคุกคามยุคโลกเดือด 5 ปีต่อจากนี้

4 ส.ค. 2568 - 06:49

  • จากโลกร้อน...สู่โลกเดือด วิเคราะห์วิกฤตสภาพภูมิอากาศ 5 ปีข้างหน้า จากรายงาน WMO Climate Update พร้อมบทบาทของมนุษยชาติในการตั้งรับและปรับตัว

รายงาน WMO Climate Update ชี้ชะตาอนาคตภัยคุกคามยุคโลกเดือด 5 ปีต่อจากนี้

องค์การอุตุนิยมโลก (WMO) เผยแพร่รายงาน WMO Global Annual to Decadal Climate Update (2025-2029) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์แนวโน้มสภาพภูมิอากาศโลกในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยมีประเด็นสำคัญที่น่าจับตา อาทิ

รายงาน WMO Global Annual to Decadal Climate Update (2025-2029)
รายงาน WMO Global Annual to Decadal Climate Update (2025-2029)
  • อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกยังคงมีแนวโน้วอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงหรือทุบสถิติเดิมในช่วง 5 ปี ระหว่างปี 2025–2029 โดยอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกในแต่ละปี คาดว่าจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงปี 1850–1900 อยู่ที่ประมาณ 1.2-1.9°C
  • มีความเป็นไปได้สูงถึง 86% ที่อย่างน้อย 1 ปี ในระหว่างปี 2025–2029 อุณหภูมิเฉลี่ยใกล้ผิวโลกจะสูงเกินกว่า 1.5°C เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม (1850–1900) และมีโอกาสสูงถึง 70% ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของทั้ง 5 ปี มีโอกาสจะสูงเกิน 1.5°C เช่นกัน
  • มีความเป็นไปได้สูงกว่า 80%  ที่อย่างน้อย 1 ปี ในช่วง 2025–2029 จะร้อนกว่าปี 2024 ซึ่งเป็นปีที่ร้อนที่สุดในปัจจุบัน และ 1% คือมีความเป็นไปได้ที่อย่างน้อย 1 ปี อุณหภูมิโลกจะร้อนเกิน 2°C จากระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม
  • จากการคาดการณ์ ระบุว่าในช่วงระหว่างปี 2025–2029 โลกจะมีภาวะเอลนีโญ-ลานีญาที่เป็นกลาง (ENSO)
  • คาดว่าอุณหภูมิเฉลี่ยในเขตอาร์กติกในช่วงฤดูหนาว (พฤศจิกายน–มีนาคม) ของ 5 ปีถัดไป จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงปี 1991–2020 อยู่ที่ 2.4°C ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 3.5 เท่า โดยคาดการณ์น้ำแข็งทะเลอาร์กติก ในเดือนมีนาคม ปี 2025–2029 จะลดลง ขณะที่ระดับน้ำจะสูงขึ้น
  • รูปแบบฝนในช่วงพฤษภาคม–กันยายน 2025–2029 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยปี 1991–2020 คาดว่าจะมีฝนมากกว่าปกติ (เสี่ยงน้ำท่วม) ในบริเวณซาเฮล ยุโรปเหนือ อลาสกา และไซบีเรียตอนเหนือ และฝนน้อยกว่าปกติ (เสี่ยงภัยแล้ง) ในบริเวณแอมะซอน
  • ในภูมิภาคเอเชียใต้ คาดการณ์ว่าภาวะฝนตกหนักผิดปกติ จะยังคงดำเนินต่อไปในช่วง 2025–2029 แม้ว่าอาจมีบางฤดูกาลที่ไม่เป็นไปตามแนวโน้มดังกล่าวก็ตาม

สิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดคือ แม้ว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิจะดูเหมือนเล็กน้อยในเชิงตัวเลข แต่กลับทำให้เกิดภาวะสภาพภูมิอากาศแบบสุดขั้ว (Extreme Weather) ที่ส่งผลกระทบลึกซึ้งต่อระบบนิเวศของโลกเป็นวงกว้าง เช่น การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่เร็วขึ้นกว่าที่คาดการณ์ ระบบนิเวศทางทะเลที่เปราะบาง เช่น แนวปะการังถูกทำลาย และอัตราการเกิดภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

sustainability-wmo-climate-update-2025-2029-SPACEBAR-Photo02.jpg

เผาหลอก-เผาจริง...

“กรกฎาคม” ระทมทุกหย่อมหญ้า

กรกฎาคม 2025 กลายเป็นช่วงเวลาที่สะท้อนภาพวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างเด่นชัดที่สุด เมื่อโลกต้องเผชิญทั้งคลื่นความร้อน ไฟป่า และน้ำท่วมฉับพลันที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันในหลายทวีป ความรุนแรงของเหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงเป็นผลจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างของภูมิอากาศโลก

sustainability-wmo-climate-update-2025-2029-SPACEBAR-Photo03.jpg

Heatwaves

เมืองใหญ่ร้อนระอุทุบสถิติ

เดือนกรกฎาคม 2025 มีรายงานข่าวคลื่นความร้อนรุนแรงแผ่ปกคลุมเมืองใหญ่ทั่วโลก อุณหภูมิแตะระดับอันตรายหลายพื้นที่ อาทิ ใน “ตุรเคีย” มีการบันทึกอุณหภูมิสูงสุดถึง 50.5°C ส่วน “ไซปรัส” และ “อิหร่าน” ต่างเผชิญผลกระทบจากความร้อนสะสมและระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ล่มสลาย ขณะที่ “สหรัฐฯ” ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้มีประชาชนกว่า 20 ล้านคนที่ต้องเผชิญภาวะเสี่ยงต่อสุขภาพจากคลื่นความร้อน

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในยุโรป เช่น โคลอสเซียมในอิตาลี และอโครโปลิสใน “กรีซ” ต้องปิดชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย สาเหตุหลักมาจากปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heatwaves) ที่ทำให้อุณหภูมิในเมืองสูงกว่าชานเมืองอย่างมาก

“ไฟป่า” ที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้น พ่วงมาด้วยปัญหามลพิษทางอากาศ PM2.5 ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่าง “มะเร็งปอด”
“ไฟป่า” ที่เกิดขึ้นถี่และรุนแรงขึ้น พ่วงมาด้วยปัญหามลพิษทางอากาศ PM2.5 ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่าง “มะเร็งปอด”

Wildfires

ไฟป่าโหมกระหน่ำซ้ำในยุโรปเหนือและเมดิเตอร์เรเนียน

ความร้อนและความแห้งแล้งก่อให้เกิดไฟป่าปะทุในหลายประเทศทางยุโรปตอนใต้ รวมถึงตุรเคีย ซีเรีย และหมู่เกาะในกรีซ มีการอพยพประชาชนมากกว่า 50,000 คน และเกิดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน ประกาศเตือนภัยจากความเสี่ยงไฟป่าเช่นกัน

sustainability-wmo-climate-update-2025-2029-SPACEBAR-Photo05.jpg

Flash Floods

น้ำท่วมฉับพลัน เขย่าทวีปเอเชียและอเมริกา

ฝนตกหนักในช่วงเวลาอันสั้นนำไปสู่น้ำท่วมฉับพลันในหลายประเทศ ต้นเดือนกรกฎาคม ในสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตกว่า 130 รายจากเหตุน้ำท่วมในเท็กซัส และนิวเม็กซิโก ขณะที่ในเกาหลีใต้ น้ำท่วมและดินถล่มทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 17 ราย และกว่า 13,000 คนต้องอพยพ กลางเดือนเป็นต้นมา ในจีนตอนเหนือ ฝนตกหนักระดับประวัติการณ์ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 70 ราย และกว่า 80,000 คนต้องย้ายถิ่น นอกจากนี้ ยังมีน้ำท่วมในไนจีเรีย อินเดีย และปากีสถาน ส่งผลให้หลายล้านคนได้รับผลกระทบ

ขณะที่ในประเทศไทยเองก็โดนพายุ “วิภา” ถล่ม ส่งผลให้หลายจังหวัดน้ำท่วม ทั้งน่าน เชียงราย พะเยา ลำปาง เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก และเลย เนื่องจากแม่น้ำล้นตลิ่ง ท่วมทะลักบ้านเรือนประชาชนและพื้นที่ทำการเกษตร

SDGs กับบทบาทสำคัญในการแก้วิกฤติสภาพภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของโลกอย่างลึกซึ้ง นั่นทำให้ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals - SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ กลายเป็นกรอบแนวทางสำคัญในการรับมือกับวิกฤตินี้อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะ เป้าหมายที่ 13 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) ได้กำหนดให้ทุกประเทศต้องเร่งปรับตัว ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวจากภัยพิบัติที่เกิดจากโลกร้อน

นอกจากเป้าหมายที่ 13 แล้ว เป้าหมายอื่น ๆ ก็ล้วนเชื่อมโยงกับวิกฤติภูมิอากาศ เช่น

•                         SDG 2 ขจัดความหิวโหย: ภัยแล้ง น้ำท่วม และไฟป่า ส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงทางอาหาร

•                         SDG 6 น้ำสะอาดและสุขาภิบาล:  น้ำท่วมและฝนตกหนักกระทบคุณภาพและการเข้าถึงแหล่งน้ำ

•                         SDG 11 เมืองและชุมชนยั่งยืน: เมืองต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับสภาพอากาศสุดขั้ว

•                         SDG 15 ระบบนิเวศบนบก: ไฟป่าและความแห้งแล้งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพอย่างกว้างขวาง

การบรรลุ SDGs จึงไม่ใช่เพียงเป้าหมายระยะยาวเพื่อการพัฒนาเท่านั้น แต่ยังเป็นเส้นทางสำคัญที่จะช่วยให้มนุษยชาติ “ตั้งรับและปรับตัว” กับโลกที่ร้อนขึ้นได้อย่างเป็นธรรม ครอบคลุม และยั่งยืน

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์