โลกจะยั่งยืนกี่โมง?
เรามีเวลาอีก 5 ปี ก่อนถึงเส้นตายที่โลกกำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไว้ในปี 2030 ซึ่งดูท่าจะเป็นความล้มเหลวเชิงระบบ เพราะจากรายงานฉบับล่าสุดขององค์การสหประชาชาติ ชี้ว่าโลกยังคงห่างไกลจากเป้าหมายที่ตั้งไว้
รายงานเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี2025 หรือ The Sustainable Development Goals Report 2025 ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานกิจการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Department of Economic and Social Affairs: UN DESA) ร่วมกับระบบสถิติของสหประชาชาติ (United Nations Statistical System: UNStats) เผยว่า มีเพียง 35% ของเป้าหมายที่มีความก้าวหน้าในระดับปานกลางหรือเป็นไปตามแผน ขณะที่เกือบครึ่งหนึ่ง เดินหน้าอย่างล่าช้า และที่น่ากังวลคือ 18% ของเป้าหมายกลับถดถอยลง
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนวิกฤตเชิงระบบในระดับโลก ที่กำลังสั่นคลอนรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ความเหลื่อมล้ำ สงคราม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือความล้มเหลวของระบบการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งรายงานฉบับนี้ระบุชัดว่า “เรากำลังอยู่ในภาวะฉุกเฉินด้านการพัฒนา”
ความก้าวหน้าที่ไม่เท่ากัน เมื่อค่าเฉลี่ยบดบังความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง
ตลอดระยะเวลาเกือบทศวรรษ นับตั้งแต่ปี 2015 โลกได้เห็นความก้าวหน้าในหลายด้านที่เป็นผลจากความพยายามขับเคลื่อน SDGs เช่น
- เด็กและเยาวชน โดยเฉพาะเด็กหญิง มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาและจบการศึกษามากขึ้น
- อัตราการเสียชีวิตของแม่และเด็ก ลดลงอย่างต่อเนื่อง
- การติดเชื้อ HIV รายใหม่ลดลงเกือบ 40% เมื่อเทียบกับปี 2010
- ผู้หญิงมีบทบาทในเวทีการเมืองมากขึ้น โดยมีสัดส่วนในรัฐสภาทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 22% เป็น 27%
- การเข้าถึงไฟฟ้าขยายครอบคลุมถึง 92% ของประชากรโลก
- อินเทอร์เน็ตกลายเป็นเครื่องมือหลักในการเปิดโอกาสใหม่ โดยมีการใช้งานเพิ่มขึ้น 70% ตั้งแต่ปี 2015
ทว่า ความก้าวหน้าเหล่านี้กลับดำเนินไปท่ามกลางความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ยังคงฝังลึก ผู้หญิง คนพิการ และกลุ่มเปราะบาง ยังคงถูกกีดกันออกจากโอกาสและทรัพยากรอย่างเป็นระบบ ในขณะเดียวกัน ผู้คนกว่า 800 ล้านคนยังติดอยู่ในความยากจนขั้นรุนแรง และ 1 ใน 11 คนทั่วโลกยังเผชิญกับความหิวโหย
ยิ่งไปกว่านั้น การพลัดถิ่นจากบ้านเกิดเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน โดยมีผู้พลัดถิ่นมากกว่า 120 ล้านคน ขณะที่ประชากรอีกกว่า 1,000 ล้านคน ต้องอยู่อาศัยในสลัมหรือชุมชนแออัด
ปี 2024 เป็นปีที่โลกร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ปี 2024 ถูกบันทึกว่าเป็นปีที่โลกร้อนที่สุดในรอบประวัติศาสตร์ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยทะลุเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเป็นครั้งแรก ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการเตือนภัยด้านภูมิอากาศ แต่ยังสะท้อนถึงความล้มเหลวของนโยบายโลกร่วมในการจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ล้านปี
ความเปราะบางทางภูมิอากาศส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงด้านอาหาร แหล่งน้ำ ความปลอดภัยของประชาชน และเศรษฐกิจฐานราก ในขณะที่กลไกการเงินระหว่างประเทศยังคงล้มเหลวในการสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาให้สามารถปรับตัวและฟื้นฟู

เงินทุนหดหาย เพราะการพัฒนาต้องต่อสู้กับดอกเบี้ย
ปัญหาการขาดแคลนเงินทุนกลายเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งความก้าวหน้าของ SDGs โดยเฉพาะในประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง ที่ต้องแบกรับต้นทุนการชำระหนี้สูงถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2023 ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในประวัติการณ์
ขณะเดียวกัน ช่องว่างด้านเงินทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศกำลังพัฒนายังอยู่ที่ระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ข้อมูลเชิงลึกยังระบุว่าระบบสถิติแห่งชาติของหลายประเทศกำลังประสบปัญหาด้านงบประมาณ ทำให้การติดตามความก้าวหน้า การวางแผนเชิงนโยบาย และการประเมินผลลัพธ์เป็นไปอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ
ความหวังที่ยัง(พอ)มี
แม้ภาพรวมจะน่าวิตก รายงานยังเผยให้เห็นความสำเร็จในระดับประเทศและท้องถิ่นที่น่าชื่นชม อาทิ
- 45 ประเทศสามารถจัดหาไฟฟ้าให้แก่ประชากรได้ครบทุกครัวเรือน
- 54 ประเทศสามารถกำจัดโรคเขตร้อนที่ถูกละเลยได้อย่างน้อยหนึ่งโรคภายในสิ้นปี 2024
ความสำเร็จเหล่านี้ยืนยันว่า การเร่งความก้าวหน้ายังคงเป็นไปได้ หากมีเจตจำนงทางการเมือง การลงทุนที่เพียงพอ และความร่วมมือข้ามภาคส่วนที่แท้จริง
คำเรียกร้องสู่การเปลี่ยนแปลงใน 6 แกนหลัก
รายงาน SDGs ปี 2025 ไม่ใช่เพียงการสรุปตัวเลข แต่คือเสียงเตือนที่เรียกร้องให้เกิด “การเปลี่ยนผ่านเชิงระบบ” อย่างเป็นรูปธรรมใน 6 ด้านสำคัญ ได้แก่
- ระบบอาหาร
- การเข้าถึงพลังงานที่ยั่งยืน
- การเชื่อมต่อดิจิทัล
- การปฏิรูปการศึกษา
- งานและระบบคุ้มครองทางสังคม
- การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ
หากเป้าหมายเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนจาก “แผนงานบนกระดาษ” ให้กลายเป็น “นโยบายที่จับต้องได้” ภายใน 5 ปีข้างหน้า โลกอาจต้องเผชิญกับความล้มเหลวครั้งใหญ่ของเจตนารมณ์แห่งศตวรรษ