EU ผ่อนกฎหมายยั่งยืน นักสิ่งแวดล้อมห่วงลดแรงจูงใจธุรกิจปรับตัว–ไทยเสี่ยงสะดุด

15 ต.ค. 2568 - 01:16

  • รัฐสภายุโรปหนุนตัดเกณฑ์บังคับใช้กฎหมาย CSDDD กับบริษัทขนาดกลาง หวังลดภาระธุรกิจยุคแข่งขันสูง

  • นักสิ่งแวดล้อมเตือน การปรับแผนลดคาร์บอนคือการก้าวถอยหลังในวิกฤตโลกร้อน ชี้เปิดโอกาสให้บริษัทยักษ์ใหญ่เลี่ยงความรับผิดด้านสิ่งแวดล้อม

  • ไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตสำคัญของยุโรป เสี่ยงเสียโอกาสหากไม่วางระบบตรวจสอบสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่อุปทาน

EU ผ่อนกฎหมายยั่งยืน นักสิ่งแวดล้อมห่วงลดแรงจูงใจธุรกิจปรับตัว–ไทยเสี่ยงสะดุด

รัฐสภายุโรป โดยคณะกรรมการกฎหมาย  ได้อนุมัติแนวทางปรับลดความเข้มงวดของกฎหมายความยั่งยืนภาคธุรกิจ (Corporate Sustainability Due Diligence Directive: CSDDD) ซึ่งอยู่ระหว่างการถกเถียงระหว่างฝ่ายสนับสนุนการคุมเข้มกับภาคธุรกิจที่ประท้วงว่าเงื่อนไขปัจจุบันรุนแรงเกินไป

สำหรับกฎหมาย CSDDD ซึ่งผ่านการอนุมัติในปีที่ผ่านมา กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนและประเด็นสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่อุปทานของตน หากไม่ปฏิบัติตามจะเผชิญกับโทษปรับสูงถึง 5% ของยอดขายทั่วโลก

ภายหลังรัฐสภายุโรปหนุนปรับลดขอบเขตกฎหมายความยั่งยืนภาคธุรกิจ หวังลดภาระเอกชน เกิดเสียงคัดค้านหนักจากภาคอุตสาหกรรม นักสิ่งแวดล้อมที่ต่างออกเตือนว่าเสี่ยงบั่นทอนหลักการรับผิดชอบต่อสังคม ขณะที่ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบทั้งในแง่โอกาสและความท้าทาย

กฎหมาย CSDDD คืออะไร และมีเป้าหมายอย่างไร?

กฎหมาย Corporate Sustainability Due Diligence Directive (CSDDD) ของสหภาพยุโรป ถูกออกแบบมาเพื่อกำหนดให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องตรวจสอบและจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ตลอดห่วงโซ่อุปทาน  (Supply Chain)  หากไม่ปฏิบัติตาม บริษัทอาจถูกปรับสูงถึง 5% ของรายได้ทั่วโลก

กฎหมาย CSDDD ถือเป็นประเด็นถกเถียงในวาระแผนงานสีเขียวของยุโรป มีประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาและกาตาร์ เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย เพราะเห็นว่ายุโรปกำลังล้ำเส้นโดยการเรียกร้องมาตรฐานต่อบริษัทต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้นับเป็นหนึ่งในเสาหลักของนโยบาย European Green Deal ที่มุ่งเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจยุโรปสู่ความยั่งยืนและมีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยเน้นการมีบทบาทของภาคเอกชนในการแก้ปัญหาโลกร้อนและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศกำลังพัฒนา

sustainability-eu-softens-environmental-rules-business-motivation-risk-SPACEBAR-Photo01.jpg

การปรับลดขอบเขต จากบังคับใช้ทั่วถึงสู่การจำกัดเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่

ในการลงมติวันจันทร์ที่ผ่านมา สมาชิกของคณะกรรมการกฎหมายได้อนุมัติมาตรการที่จะปรับเกณฑ์ใหม่นี้ให้บังคับใช้เฉพาะกับบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น คือบริษัทที่มีพนักงานอย่างน้อย 5,000 คน และมีรายได้มากกว่า 1.5 พันล้านยูโร โดยมาตรการเดิมนั้นบังคับใช้กับบริษัทที่มีพนักงานตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไป และมีรายได้เกิน 450 ล้านยูโร

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้ตัดข้อกำหนดเรื่อง “แผนเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อม” (Transition Plans) ซึ่งเดิมกำหนดให้ทุกบริษัทต้องวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้สอดคล้องกับเป้าหมายของข้อตกลงปารีส

ทั้งนี้ ฝ่ายสนับสนุนการปรับลด เช่น ตัวแทนจากกลุ่มประชาชนยุโรป European People's Party ให้เหตุผลว่า กฎหมายเดิมจะสร้างภาระเกินจำเป็นกับธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน และการแข่งขันระดับโลกสูงขึ้น

ฝ่ายต่อต้านเตือนเสี่ยงทำลายความหมายของกฎหมายความยั่งยืน

แม้หลายประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจะสนับสนุนการจำกัดขอบเขตให้เหลือเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่ก็มีเสียงวิพากษ์จากกลุ่ม NGO และนักกฎหมายสิ่งแวดล้อมจำนวนมาก fhkoองค์กร ClientEarth ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจทำให้กฎหมายฉบับนี้ “ถูกทำให้ไร้ความหมาย” และกลายเป็นเพียง “เครื่องต่อรองทางการเมือง” แทนที่จะเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ

บางบริษัท เช่น TotalEnergies ก็เรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายโดยสิ้นเชิง โดยอ้างว่าเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันกับบริษัทนอกยุโรป เช่น จากสหรัฐฯ หรือจีน ที่ไม่มีกฎลักษณะเดียวกัน

ไทยควรจับตากฎหมายที่อาจกลายเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง

แม้กฎหมาย CSDDD จะออกแบบมาสำหรับบริษัทในยุโรป แต่ก็มีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศคู่ค้าทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมส่งออกที่มีห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยงกับยุโรป เช่น อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ อาหารทะเล และยานยนต์

หากกฎหมายกลับมาใช้ขอบเขตเดิมหรือมีความเข้มงวดในอนาคต ผู้ประกอบการไทยที่ไม่มีระบบตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมที่เข้มแข็ง อาจสูญเสียคู่ค้า หรือเผชิญต้นทุนเพิ่มในการปรับตัวให้ผ่านเกณฑ์

ในทางกลับกัน หากไทยเร่งสร้างมาตรฐานความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานของตนเอง ก็อาจพลิกเป็นโอกาส โดยสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและผู้บริโภคในต่างประเทศได้มากขึ้น

ทั้งนี้ การปรับลดกฎหมาย CSDDD สะท้อนถึงความท้าทายของยุโรประหว่างการรักษาหลักความยั่งยืน กับการพยายามรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ขณะเดียวกัน ประเทศคู่ค้าอย่างไทยควรใช้จังหวะนี้ในการปรับตัวเชิงระบบ เพื่อไม่ให้ตกขบวนของการค้าโลกที่กำลังมุ่งไปสู่มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์