การประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ COP30 จะเริ่มขึ้นวันที่ 10 พฤศจิกายน ณ เมืองเบเลม ประเทศบราซิล โดยมีความสำคัญพิเศษเนื่องจากเป็นการครบรอบ 10 ปีของข้อตกลงปารีส และจัดขึ้นในพื้นที่ลุ่มน้ำแอมะซอนที่เสี่ยงต่อผลกระทบสิ่งแวดล้อม การประชุมครั้งนี้มีประเด็นสำคัญหลายเรื่องที่จะเป็นจุดสนใจ
เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โลกยังคงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ไม่เพียงพอเพื่อบรรลุเป้าหมายของข้อตกลงปารีส ตามข้อตกลงดังกล่าว ประเทศสมาชิกต้องส่งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เข้มงวดขึ้นทุก 5 ปี
เป้าหมายรอบใหม่สำหรับปี 2035 กำหนดส่งในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ประเทศส่วนใหญ่ส่งล่าช้า จนถึงต้นเดือนตุลาคม มีประเทศส่งแผนปรับปรุงแล้วประมาณ 60 ประเทศ โดยส่วนใหญ่ไม่น่าพอใจ โดยเฉพาะเป้าหมายของ "จีน" ที่ต่ำกว่าความคาดหวังมาก
"สหภาพยุโรป" ยังไม่สามารถตกลงเป้าหมายได้ เนื่องจากความขัดแย้งภายใน ขณะที่ "อินเดีย" ซึ่งเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ยังไม่ได้สรุปข้อผูกพันของตน

เงินทุนสภาพภูมิอากาศ
เรื่องเงินทุนเป็นจุดขัดแย้งสำคัญ โดยเฉพาะจำนวนเงินที่ประเทศร่ำรวยให้ประเทศยากจนเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปีที่แล้วการประชุม COP29 ตกลงให้ประเทศพัฒนาแล้วสนับสนุนเงิน 300,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในปี 2035 ซึ่งต่ำกว่าความต้องการ
ประเทศสมาชิกยังตั้งเป้าหมายระดมทุน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2035 จากแหล่งทุนภาครัฐและเอกชน ประเทศกำลังพัฒนาต้องการรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายนี้ในการประชุม COP30
กองทุนป่าเขตร้อนใหม่
บราซิลเลือกจัดการประชุม COP30 ที่เบเลมเนื่องจากใกล้กับป่าแอมะซอน เพื่อดึงความสนใจโลกต่อบทบาทสำคัญของป่าฝนในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในงานนี้ บราซิลจะเปิดตัวกองทุนป่าเขตร้อนตลอดกาล (TFFF) ที่มีเป้าหมายระดมทุน 25,000 ล้านดอลลาร์จากประเทศผู้บริจาค และอีก 100,000 ล้านดอลลาร์จากภาคเอกชน โดยบราซิลสมทบแล้ว 1,000 ล้านดอลลาร์
สถานการณ์ป่าไม้โลก
ตามข้อมูลจาก Global Forest Watch การทำลายป่าเขตร้อนปฐมภูมิในปี 2024 สูงเป็นประวัติการณ์ เทียบเท่าการสูญเสียพื้นที่ป่า 18 สนามฟุตบอลต่อนาที ส่วนใหญ่เกิดจากไฟป่าขนาดใหญ่
คลีเมนต์ เฮลารี จากกรีนพีซ ระบุว่ากองทุน TFFF อาจเป็นก้าวสำคัญในการปกป้องป่าเขตร้อน หากมาพร้อมกับมาตรการที่ชัดเจนในการยุติการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2030



