“รักชาติไทย ใส่ใจโลก”
— คำขวัญวันเด็ก 2569 โดยอนุทิน ชาญวีระกุล นายกรัฐมนตรี
คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2569 “รักชาติไทย ใส่ใจโลก” ที่ อนุทิน ชาญวีระกุล นายกรัฐมนตรี มอบให้เด็กและเยาวชนไทย สะท้อนการขยับกรอบความคิดของรัฐต่อบทบาทเด็กในสังคมร่วมสมัย จากเดิมที่คำขวัญวันเด็กมักเน้น “คุณธรรมส่วนบุคคล” เชิดชูคุณธรรม การมีวินัย ใส่ใจการเรียนรู้ สู่การเชื่อมโยงความเป็นพลเมืองเข้ากับความรับผิดชอบต่อโลกและสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยยะ
ในบริบทที่ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตสิ่งแวดล้อมซ้อนวิกฤต ตั้งแต่มลพิษอากาศ PM2.5 ภัยพิบัติจากสภาพอากาศสุดขั้ว ไปจนถึงแรงกดดันด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศจากเวทีโลก คำขวัญนี้จึงไม่ใช่เพียงถ้อยคำเชิงพิธีกรรม แต่เป็นสัญญาณทางการเมืองที่ควรถูกอ่านอย่างจริงจัง
จาก “เด็กดีของชาติ” สู่ “พลเมืองดีของโลก”
“สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม”
— คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2551 โดยสุรยุทธ์ จุลานนท์
“คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม”
— คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2553 โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
“กตัญญู รู้หน้าที่ เป็นเด็กดี มีวินัย สร้างไทยให้มั่นคง”
— คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2557 โดยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
“รู้คิด รอบคอบ รับผิดชอบต่อสังคม”
— คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2565 โดยประยุทธ์ จันทร์โอชา
หากย้อนดูคำขวัญวันเด็กในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา จะพบว่าประเด็นหลักมักวนเวียนอยู่กับวินัย ความกตัญญู ความสามัคคี และการเป็น “เด็กดี” ในกรอบสังคมแบบเดิม เช่น การเน้นเชื่อฟังผู้ใหญ่ ตั้งใจเรียน หรือเป็นกำลังของชาติในอนาคต
คำขวัญเหล่านั้นสะท้อนมุมมองที่มองเด็กเป็นทรัพยากรของรัฐ มากกว่าจะเป็นผู้มีบทบาทกำหนดอนาคตของสังคม ในขณะที่ประเด็น “สิ่งแวดล้อม” แทบไม่ปรากฏในฐานะโจทย์หลักของประเทศ
การปรากฏของคำว่า “ใส่ใจโลก” ในคำขวัญวันเด็กปี 2569 จึงถือเป็นการเปลี่ยนโทนอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นครั้งที่รัฐตั้งใจสื่อสารกับเด็กโดยยอมรับกลายๆ ว่า อนาคตของชาติไม่อาจแยกออกจากวิกฤตระดับโลก โดยเฉพาะวิกฤตสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ

ความรักชาติในยุคที่ทรัพยากรกำลังเสื่อมถอย
การวาง “รักชาติไทย” ควบคู่กับ “ใส่ใจโลก” สะท้อนการขยายความหมายของความรักชาติ จากเรื่องอัตลักษณ์และความภักดี ไปสู่การปกป้องฐานทรัพยากรที่ทำให้ชาติดำรงอยู่ได้จริง
ประเทศไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่อง น้ำท่วมและภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ป่าไม้และทะเลที่เสื่อมโทรม รวมถึงผลกระทบจากการพัฒนาเชิงโครงสร้างที่ยังเป็นข้อถกเถียงกับชุมชนท้องถิ่น ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เพียงเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่กระทบโดยตรงต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ
ในบริบทนี้ ความรักชาติที่ไม่เชื่อมโยงกับการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม จึงยากจะตอบโจทย์ความเป็นจริง

“ใส่ใจโลก” กับบทบาทของไทยบนเวทีสภาพภูมิอากาศ
อีกด้านหนึ่งคำว่า “ใส่ใจโลก” ยังสะท้อนสถานะของประเทศไทยในฐานะประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อนสูง แม้จะไม่ใช่ผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลักของโลก
การสื่อสารกับเด็กและเยาวชนในกรอบนี้ หมายความว่ารัฐยอมรับแล้วว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่อาจแก้ไขได้ด้วยกรอบคิดแบบชาตินิยมแคบๆ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระดับภูมิภาคและโลก
อย่างไรก็ตาม การ “ใส่ใจโลก” จะมีน้ำหนักจริงหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับการแปลงคำขวัญไปสู่ท่าทีเชิงนโยบายที่สอดคล้องกัน
ช่องว่างระหว่างถ้อยคำกับการปฏิบัติ
แม้คำขวัญวันเด็ก 2569 จะสื่อสารแนวคิด “ความยั่งยืน” อย่างชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติประเทศไทยยังคงเผชิญความย้อนแย้งเชิงนโยบาย ทั้งการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่คืบหน้าอย่างจำกัด และการบังคับใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่เข้มแข็ง
หลายโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ยังถูกตั้งคำถามถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชน ซึ่งสะท้อนว่าความ “ใส่ใจโลก” ยังไม่ถูกยกระดับเป็นเงื่อนไขหลักของการตัดสินใจเชิงนโยบาย
ในแง่นี้ คำขวัญวันเด็กจึงทำหน้าที่เป็นมากกว่าสารถึงเด็ก แต่เป็นบททดสอบความจริงใจของรัฐเอง

เด็ก เยาวชน และความรับผิดชอบข้ามรุ่น
เด็กและเยาวชนคือกลุ่มที่จะต้องเผชิญผลกระทบจากวิกฤตสิ่งแวดล้อมยาวนานที่สุด คำขวัญ “รักชาติไทย ใส่ใจโลก” จึงมีนัยของความรับผิดชอบข้ามรุ่น หากรัฐต้องการให้ถ้อยคำนี้มีความหมาย จำเป็นต้องเปิดพื้นที่ให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เพียงสื่อสารเชิงสั่งสอน
การเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมต้องเชื่อมโยงกับชีวิตจริง โครงสร้างเศรษฐกิจ และความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่จำกัดอยู่เพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ในวันสำคัญ
คำขวัญที่สะท้อนจุดเปลี่ยน หรือเพียงการปรับภาพลักษณ์
ท้ายที่สุด คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ 2569 อาจถูกมองได้สองทาง หนึ่ง คือสัญญาณของการยอมรับอย่างจริงจังว่า สิ่งแวดล้อมคือแกนกลางของอนาคตประเทศ หรืออีกทาง คือความพยายามปรับภาพลักษณ์ให้สอดรับกระแสโลก โดยที่โครงสร้างการพัฒนายังไม่เปลี่ยนตาม
สำหรับมุมองด้านสิ่งแวดล้อม คำขวัญนี้จึงไม่ควรถูกปล่อยผ่านในฐานะข่าวเชิงพิธีกรรม หากแต่ควรถูกใช้เป็นจุดตั้งคำถามว่า ประเทศไทยจะทำให้ “รักชาติไทย ใส่ใจโลก” เป็นความจริงได้มากเพียงใด ในโลกที่เวลาของสิ่งแวดล้อมกำลังนับถอยหลัง



