ดีลภาษีนำเข้าอินโดฯ ส่งสัญญาณบวก ไทยลุ้นได้ภาษีต่ำกว่า 20% หนุนเงินไหลเข้า EM – หวัง SET แตะ 1,200 จุด

16 ก.ค. 2568 - 09:34

  • ดีลสหรัฐ–อินโดฯ จบที่ 19% ไทยมีลุ้นต่ำกว่า 20%

  • เงินไหลเข้าเอเชีย - หุ้นไทยได้อานิสงส์ระยะสั้น

  • ลุ้นลดดอกเบี้ยแบบ จัมโบ้คัต ในไตรมาส 4 หลังได้ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่

ดีลภาษีนำเข้าอินโดฯ ส่งสัญญาณบวก ไทยลุ้นได้ภาษีต่ำกว่า 20% หนุนเงินไหลเข้า EM – หวัง SET แตะ 1,200 จุด

การเจรจาการค้าระหว่าง อินโดนีเซียกับสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จ โดยสามารถลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จาก 32% เหลือเพียง 19% จุดความหวังให้กับประเทศไทยที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเช่นกัน หากไทยสามารถปิดดีลได้ในอัตราที่ต่ำกว่า 20% มีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์บวก พร้อมแรงหนุนจากกระแส เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets – EM) ในเอเชีย

อินโดฯ ลดภาษีนำเข้าเหลือ 19% สร้างความหวังให้ “ดีลไทย–สหรัฐฯ”

กรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ (Vice President) สายงานวิจัย (ลูกค้ารายย่อย) บริษัทหลักทรัพย์ CGS International (ประเทศไทย)วิเคราะห์ว่า ความสำเร็จของอินโดนีเซียในการลดภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ เหลือเพียง 19% ถือเป็น “สัญญาณบวก” ต่อประเทศในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย

“ตัวเลข 19% จากอินโดฯ ทำให้ตลาดคาดว่าไทยอาจเจรจาสำเร็จในกรอบต่ำกว่า 20% ซึ่งจะดีกว่าเวียดนามและช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขัน”

แม้ผลเจรจายังไม่สรุป แต่ตลาดจับตาว่า ข้อตกลงไทย–สหรัฐฯ ซึ่งต้องสรุปภายใน 1 สิงหาคมนี้ อาจรวมข้อแลกเปลี่ยนในหลายหมวด อาทิ พลังงาน, การบิน และเครื่องจักรกล โดยเฉพาะ “สินค้าเกษตร” ที่แม้มีสัดส่วน GDP ไม่สูง แต่มีความสำคัญต่อการจ้างงาน

หุ้นไทยรีบาวด์หากได้ “ดีลภาษีต่ำกว่า 20%”

หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนฯ บล.CGS International กล่าวว่า หากไทยปิดดีลได้ที่ อัตราภาษีนำเข้าต่ำกว่า 20% เช่น 18% ตลาดหุ้นไทยจะตอบรับในเชิงบวกทันที โดยคาดว่าจะรีบาวด์ได้ราว 5–10 จุด ขณะที่ค่าเงินบาทก็มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องจากแรงหนุนนี้

แต่หากอัตราภาษีอยู่ในกรอบ 20–30% จะถือเป็นกลาง และหากทะลุ 25% ขึ้นไป อาจกดดันตลาดหุ้นจากความกังวลด้านความสามารถในการแข่งขัน

เงินทุนไหลเข้า “ตลาดเกิดใหม่” หนุน EM และหุ้นเอเชีย

ในช่วง 2–3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มเห็นกระแส เงินทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ (EM) โดยเฉพาะในเอเชียอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งได้รับแรงหนุนจาก

 • การอ่อนค่าของ ดอลลาร์สหรัฐฯ

 • การปรับลดมุมมองเชิงบวกต่อ Dollar Index

 • ความน่าสนใจของตลาด EM ที่ยังมี Valuation ต่ำ กว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ “Priced in Perfection” ไปแล้ว

จับตาท่าที “เฟด” หากไม่ลดดอกเบี้ย ดอลลาร์อาจรีบาวด์

หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนฯ บล.CGS International เปิดเผยว่า แม้กระแสเงินทุนไหลเข้า EM ยังเป็นบวกในระยะสั้น แต่ต้องจับตาการประชุม ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อย่างใกล้ชิด โดยตลาดคาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ย 1–2 ครั้งในปีนี้

หากเฟด “ไม่ลดดอกเบี้ย” เลยจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่เด้งกลับขึ้นมาถึง 2.7% อาจทำให้ ดอลลาร์กลับมาแข็งค่า และเกิดแรงเทขายสินทรัพย์ EM ได้

ผู้ว่าคนใหม่แบงก์ชาติ – ตลาดคาด “จัมโบ้คัต” ดอกเบี้ย Q4

อีกหนึ่งปัจจัยบวกที่หนุนตลาดคือ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนฯ บล.CGS International ระบุว่าคือความคาดหวังต่อผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ โดยเฉพาะหากเป็น ดร.วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ซึ่งมีแนวโน้มจะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินอย่างชัดเจน

หากเขาเข้ารับตำแหน่ง ตลาดคาดว่าอาจเห็นการ “ลดดอกเบี้ยแบบจัมโบ้ (Jumbo Cut)” ถึง 0.50% ภายในไตรมาส 4/2568 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งยังซบเซา

 อย่างไรก็ตามหากดอกเบี้ยไทยลดจาก 2.50% เหลือราว 1.0–1.25% ภายในกลางปี 2569 จะถือเป็นนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากที่สุดในรอบหลายปี

หุ้นไทยตอบรับข่าวดีไปแล้วบางส่วน – แนะ “เทรดดิ้งช็อต”

แม้ตลาดหุ้นไทยรีบาวด์ขึ้นช่วงต้นไตรมาส 3/2568 แต่เป็นการเก็งข่าวล่วงหน้า ดังนั้นเมื่อเกิดการลดดอกเบี้ยจริงใน Q4 อาจไม่มีแรงตอบรับมากนัก

สถิติในอดีตบ่งชี้ว่าการลดดอกเบี้ยมักหนุนตลาดขึ้น 40–60 จุด แต่รอบนี้อาจไม่แรงเท่า เพราะนักลงทุนได้ปรับพอร์ตไว้แล้ว

กลยุทธ์แนะนำ:

 • เน้น “เทรดดิ้งระยะสั้น” มากกว่าการถือยาว

 • คัดเลือกกลุ่มหุ้นที่ยังมี Upside จากนโยบายเศรษฐกิจ

กลุ่มหุ้นเด่น–หุ้นที่ควรระวังในระยะนี้

กลุ่มที่ควรระวัง:

 • ไฟแนนซ์และอสังหาริมทรัพย์: ราคาขึ้นมามากจากความคาดหวังเรื่องดอกเบี้ย แต่ งบ Q2 อาจอ่อนแอ โดยเฉพาะอสังหาฯ ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวและดีมานด์ชะลอตัว

กลุ่มที่เริ่มน่าสะสม:

 • ธนาคารพาณิชย์: ราคาปรับฐานมาพอสมควร ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาลงไม่มาก และยังมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่ดี

มุมมองต่อ “ตลาดเกิดใหม่” และการกระจายพอร์ต

หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนฯ บล.CGS International ยังคงมองบวกต่อตลาด EM โดยเฉพาะในเอเชีย ด้วยแรงหนุนจาก:

 • แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงทั่วโลก

 • ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศที่เริ่มเห็นความคืบหน้า (เช่น อินเดีย–อังกฤษ)

กลยุทธ์กระจายพอร์ตแนะนำ:

 1. กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น (Money Market Funds) – โดยเฉพาะที่ลงทุนในตลาดเงินสหรัฐฯ ซึ่งยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ย > 4%

 2. ทองคำ (Gold) – ได้แรงหนุนจากเงินเฟ้อ ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ และดอลลาร์ที่อ่อนค่า

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์