ตลาดการเงินทั่วโลกตอบรับสัญญาณผ่อนนโยบายการเงินจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หลังมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75–4.0% ตามคาด พร้อมประกาศ ยุติมาตรการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening: QT) เร็วกว่ากำหนดเดิม โดยจะเริ่มมีผลวันที่ 1 ธันวาคมนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของการกลับเข้าสู่ช่วงสภาพคล่องโลกเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
กรภัทร์ วรเชษฐ์ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ จะออกมาแสดงความเห็นเชิงระมัดระวังต่อการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธันวาคม แต่ทิศทางโดยรวมของคณะกรรมการนโยบายการเงินกลับสะท้อนมุมมองแบบ “Dovish - Uber Dovish” ชัดเจน
“นี่ไม่ใช่แค่เรื่องดอกเบี้ยลดลง แต่คือ จุดเปลี่ยนโครงสร้างสภาพคล่องโลก เมื่อการยุติ QT ทำให้งบดุลของเฟดหยุดหดตัว และกลับสู่ภาวะทรงตัว ซึ่งเป็นแรงหนุนเชิงบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกอย่างมีนัย”
กรภัทร์ระบุว่า การหยุดลดงบดุลและเริ่มนำเงินต้นจากตราสารหนี้กลับไปลงทุนใน Treasury Bill จะช่วยลดแรงตึงตัวของภาวะการเงินสหรัฐลง โดยตลาดยังคงคาดโอกาสการลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.25% ในเดือนธันวาคม หากตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเคลื่อนตัวตามกรอบที่คาดการณ์ไว้
ปัจจัยระหว่างประเทศหนุน “China Plays”
ขณะเดียวกัน ตลาดทั่วโลกจับตา การเจรจาระหว่างผู้นำจีน–สหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะใช้ “น้ำเสียงประนีประนอม” มากขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นทรัพยากรหายาก (Rare Earth) และห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
“หากทิศทางการเจรจาออกมาเชิงบวก จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้บรรยากาศลงทุนในเอเชียทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะหุ้นธีมจีนที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมพลังงาน นิคม และดิจิทัลของไทย”
ข้อมูลจากนักลงทุนสถาบันต่างชาติในยุโรปและแคนาดาเริ่มพบสัญญาณว่า การจัดพอร์ตลงทุนปรับจาก ไม่แตะหุ้นจีนเลย กลับมาเป็น ลดน้ำหนักเล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณต้นทางของ Reallocation Flow
ไทยยังอยู่ในวัฏจักรผ่อนคลายนโยบายการเงิน
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทย แม้กระแสเงินทุนต่างชาติยังเข้า–ออกสลับกัน แต่ตัวเลขการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน (BOI) ไตรมาส 3 ปี 2568 ขยายตัว +18% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่งวด 9 เดือนขยายตัว เกือบ 100% สะท้อนการลงทุนจริงในภาคเอกชนยังมี Momentum ต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลและอุตสาหกรรมใหม่
กลยุทธ์การลงทุน
บล.กรุงศรีแนะนำ เน้นหุ้นโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี และธีมฟื้นตัวภายในประเทศ ผสานหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเจรจาจีน–สหรัฐ ได้แก่
ADVANCA, GULF, TOP, PTTGC, KEC, CENTEL, CPALL, BDMS, BH, KTB, KBANK
ดัชนี SET Index คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1311–1325/1330 จุด


