‘สิงคโปร์’ เป็นอีกหนึ่งประเทศในเอเชียที่ประสบปัญหาหมอกควันทุกปี ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการจราจร อุตสาหกรรม ตลอดจนไฟป่าจากประเทศใกล้เคียงอย่างอินโดนีเซียที่พัดเอาควันพิษมาปกคลุมสิงคโปร์อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในปี 2015 ที่สร้างความสูญเสียให้กับสิงคโปร์เป็นมูลค่า 1.83 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.5 หมื่นล้านบาท)
จากดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI⁺) และมลพิษทางอากาศ PM2.5 ในสิงคโปร์ระบุว่า ค่าฝุ่น PM2.5 โดยเฉลี่ยทั้งปีตั้งแต่ 2018-2024 จะอยู่อันดับที่ 94 จาก 138 ประเทศ ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับ ‘สีเหลือง’ หรือปานกลาง
ในปี 2019 สิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีระดับ ‘มลพิษทางอากาศแย่ที่สุด’ เป็นอันดับที่ 52 จาก 98 ประเทศ และแย่ที่สุดเป็นอันดับที่ 44 จาก 85 เมืองหลวงเนื่องจากค่า PM2.5 เฉลี่ยของสิงคโปร์อยู่ที่ 19 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดเกือบ 2 เท่าที่ 10 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร (ปัจจุบันเกณฑ์เปลี่ยนใหม่อยู่ที่ 5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) โดยมีมลพิษมากกว่าไทเป (13.9 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) และมะนิลา (12.1 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) แต่มีอากาศที่สะอาดกว่ากัวลาลัมเปอร์ (21.6 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) และกรุงเทพฯ (22.8 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร)
ถึงกระนั้นสิงคโปร์ก็ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่รับมือกับปัญหาหมอกควัน และ PM2.5 ได้ดีทีเดียว...แต่สิงคโปร์ ‘เปลี่ยนฟ้าหลัวให้เป็นฟ้าใส’ ได้อย่างไร?
-กฎหมายมลพิษหมอกควันข้ามพรมแดน-

เนื่องด้วยสิงคโปร์ และมาเลเซียต่างประสบกับเหตุการณ์มลพิษทางอากาศรุนแรงซ้ำๆ มาตั้งแต่ปี 1972 จากการเผาไหม้ทางการเกษตรในจังหวัดสุมาตรา และกาลิมันตันของอินโดนีเซีย รวมถึงฟิลิปปินส์ จึงได้เกิดเป็นข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยการควบคุมหมอกควันข้ามพรมแดนเพื่อป้องกันมลพิษดังกล่าว แต่จนถึงปี 2006 ทั้งอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ก็ยังไม่ให้สัตยาบันข้อตกลงนี้ กระทั่งปี 2013 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ฝุ่นควันปกคลุมสิงคโปร์อย่างหนักจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ นับเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี
เหตุการณ์ในปี 2013 จึงนำไปสู่การออก ‘กฎหมายมลพิษหมอกควันข้ามพรมแดน’ (Transboundary Haze Pollution Act / THPA)ที่มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนสิงหาคม 2014 เพื่อจัดการกับปัญหาฝุ่นควันจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้อำนาจรัฐบาลดำเนินคดีกับบริษัท หรือปัจเจกบุคคล ทั้งที่อยู่ในสิงคโปร์และประเทศอื่นๆ ซึ่งทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศที่กระทบต่อสุขภาพของชาวสิงคโปร์ โดยพุ่งเป้าไปที่บริษัทต่างๆ ไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่ง
หากองค์กรใด หรือบุคคลใดเผาป่า หรือพื้นที่ทางเกษตรจนเกิดมลภาวะที่ทำให้คุณภาพอากาศของสิงคโปร์อยู่ในระดับ ‘ไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ’ จะต้องจ่ายค่าปรับไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 2.5 ล้านบาท/วัน) โดยมีเพดานค่าปรับสูงสุดอยู่ที่ 2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 51 ล้านบาท) รวมทั้งยังมีโทษจำคุกอีกด้วย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการกระทำผิด
สำหรับเกณฑ์วัดคุณภาพอากาศสิงคโปร์กำหนดให้ค่ามลภาวะที่มีค่าตั้งแต่ 101 ขึ้นไปเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น จะถือว่า ‘คุณภาพอากาศแย่ ไม่ดีต่อสุขภาพ’
ในปี 2015 ภายใต้กฎหมายมลพิษจากหมอกควันข้ามพรมแดน (THPA) ทางสำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติของสิงคโปร์ (NEA) ได้ส่งหนังสือเตือนไปยังบริษัทของอินโดนีเซีย 6 แห่งหลังจากมีไฟไหม้เกิดขึ้นในที่ดินของบริษัทเหล่านั้น และดำเนินการสอบสวนบริษัทในอินโดนีเซีย 4 แห่งอย่างจริงจัง ได้แก่ PT Bumi Andalas Permai, PT Bumi Mekar Hijau, PT Sebangun Bumi Andalas Woods Industries และ PT Rimba Hutani Mas
-เซ็นเซอร์ตรวจวัดคุณภาพอากาศทั่วประเทศ-

คุณภาพอากาศโดยรอบในสิงคโปร์จะถูกตรวจสอบอย่างต่อเนื่องผ่าน ‘เครือข่ายเซ็นเซอร์ตรวจวัดอากาศ’ ทั่วประเทศ ซึ่งเซ็นเซอร์เหล่านี้วัดระดับมลพิษทางอากาศ 6 ชนิด ได้แก่ :
- ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์
- ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์
- ก๊าซโอโซน
- ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์
- ฝุ่น PM10
- ฝุ่น PM2.5
จากนั้นความเข้มข้นของมลพิษจะถูกนำไปคำนวณดัชนีมาตรฐานมลพิษ (PSI) ตลอดระยะเวลา 24 ชั่วโมง และรายงานผลเป็นรายชั่วโมงบนเว็บไซต์ NEA, Haze Microsite และแอปฯ ‘myENV’ ทั้งนี้ ค่า PSI จะให้ข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับระดับคุณภาพอากาศ
นอกจากค่า PSI แล้ว ยังมีการเผยแพร่ค่าความเข้มข้นของ PM2.5 แบบรายชั่วโมงอีกด้วย โดยทาง NEA จะเปรียบเทียบคุณภาพอากาศของสิงคโปร์ กับแนวทางคุณภาพอากาศโลก (AQG) ของ WHO ควบคู่ไปกับการติดตามมาตรฐานคุณภาพอากาศโดยรอบของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐฯ (US EPA) และคุณภาพอากาศในเมืองใหญ่ๆ อย่างใกล้ชิด
ค่า PSI 24 ชั่วโมง และ PM2.5 1 ชั่วโมง จะถูกแบ่งตามพื้นที่ภาคเหนือ ตะวันออก ใต้ ตะวันตก และตอนกลางของสิงคโปร์ ซึ่งวัดได้จากสถานีรายงานแห่งชาติ 5 แห่งของ NEA ซึ่งตั้งอยู่ใน 5 ภูมิภาค
ในช่วงเวลาที่สิงคโปร์ได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามพรมแดน NEA จะพยากรณ์ค่า PSI 24 ชั่วโมงสำหรับวันถัดไป ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถวางแผนกิจกรรมต่างๆ ล่วงหน้าได้
นอกจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศโดยรอบแล้ว ยังมีสถานีตรวจวัดสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในอากาศอย่างต่อเนื่อง โดยสาร VOCs ที่ถูกตรวจวัดนั้นมีทั้ง เบนซิน โทลูอีน และไซลีน รวมถึง VOCs อื่นๆ ที่เป็นสารมลพิษทางอุตสาหกรรมทั่วไป ซึ่งได้รับการตรวจสอบโดยหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม เช่น สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐฯ (EPA)
(***VOCs คือไอระเหยสารเคมีอินทรีย์ ซึ่งอาจมาจากทั้งแหล่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและแหล่งธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ยานยนต์ โรงงานผลิตสารเคมี โรงกลั่น และโรงงานต่างๆ นอกจากนี้ยังพบสารเหล่านี้ได้ในผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ เช่น สี น้ำยาเคลือบเงา สารไล่แมลงเม่า น้ำยาปรับอากาศ สเปรย์ฉีดผม กาว และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ซึ่งสารประกอบเหล่านี้อาจทำให้เกิดกลิ่นได้เอง หรือเมื่อทำปฏิกิริยากับสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายชนิดอื่นๆ)
-‘สวนแนวตั้ง’ สร้างกำแพงสีเขียวให้เมือง-

อีกหนึ่งแนวทางการรับมือกับ PM2.5 อย่างสร้างสรรค์ของสิงคโปร์ก็คือ ‘สวนแนวตั้ง’ (Vertical Garden) หรือที่รู้จักกันว่าเป็น ‘กำแพงสีเขียว’ ที่กลายเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นบนเส้นขอบฟ้าของสิงคโปร์ ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าอาคารคอนกรีตให้กลายเป็นระบบนิเวศน์ที่มีชีวิตชีวา สิ่งมหัศจรรย์สีเขียวเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความสวยงามให้กับอาคารเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความยั่งยืน ความหลากหลายทางชีวภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีในสภาพแวดล้อมเมืองอีกด้วย
แม้ในสิงคโปร์จะมีสวนสาธารณะอยู่เกือบทั่วทั้งประเทศ แต่สวนแนวตั้งที่โด่งดังที่สุดของสิงคโปร์ก็คือ ‘Gardens by the Bay’สวนสาธารณะและอุทยานธรรมชาติขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ‘City in a Garden’ ของรัฐบาลสิงคโปร์ และเป็นที่รู้จักจากสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นอย่างต้นไม้ยักษ์ซูเปอร์ทรี (Supertree Grove) รวมถึงเรือนกระจกขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่รวบรวมพืชพรรณนานาชนิดจากทั่วโลกไว้
‘ต้นไม้ยักษ์ซูเปอร์ทรี’ เป็นสวนแนวตั้งที่มีความสูงตั้งแต่ 25-50 เมตร ตั้งตระหง่านราวกับผู้พิทักษ์นวัตกรรมทางนิเวศวิทยา ประดับประดาด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่ม แผงโซลาร์เซลล์ และระบบเก็บน้ำฝน ซูเปอร์ทรีจึงไม่ใช่แค่ต้นไม้ประดิษฐ์สวยๆ แต่ทำหน้าที่หลายอย่างเหมือนต้นไม้จริงในเมือง :
- ภายในโครงสร้างสวนแนวตั้งจะปลูกพืชกว่า 200 ชนิด เช่น เฟิร์น กล้วยไม้ ไทรทิ้งรัง บนโครงสร้างสูง 25-50 เมตร ซึ่งจะทำให้พืชเติบโตในแนวตั้ง
- แผงโซลาร์ในสวนแนวตั้งจะทำหน้าที่ดูดพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อส่องสว่างในตอนกลางคืน เหมือนต้นไม้สังเคราะห์แสง
- ระบบเก็บน้ำฝน จะทำหน้าที่รวบรวมน้ำฝนเพื่อรดน้ำต้นไม้ และช่วยระบายอากาศร้อนจากโดมกระจก
นอกเหนือจากสวน ‘Gardens by the Bay’ แล้ว ในสิงคโปร์ก็ยังมีสวนแนวตั้งที่ประดับประดาอยู่ตามอาคารพาณิชย์ อาคารพักอาศัย และพื้นที่สาธารณะต่างๆ อีกด้วย ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เมืองสวยงามขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมอีกมากมาย เนื่องจากสวนแนวตั้งช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กรองมลพิษ และลดอุณหภูมิโดยรอบ แถมยังช่วยลดผลกระทบจากปรากฏการณ์เกาะความร้อนและปรับปรุงคุณภาพอากาศได้ ส่งผลให้สภาพแวดล้อมในเมืองมีสุขภาพดีและน่าอยู่ยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น สวนแนวตั้งยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่สำคัญของสัตว์ป่า เป็นแหล่งหลบภัยของนก แมลง และสัตว์อื่นๆ ท่ามกลางป่าคอนกรีต อีกทั้งพรรณไม้อันเขียวชอุ่มและพันธุ์พืชหลากหลายชนิดก็ยังดึงดูดให้แมลงผสมเกสร และส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ ก่อให้เกิดระบบนิเวศขนาดเล็กที่เจริญเติบโตในใจกลางเมือง ด้วยเหตุนี้ สวนแนวตั้งจึงมีส่วนช่วยอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในเมือง และรักษาสมดุลทางนิเวศวิทยาในสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้น
ในมุมมองทางสังคม สวนแนวตั้งยังมีประโยชน์ทางจิตวิทยาต่อคนเมือง และเป็นที่หลบภัยจากความวุ่นวายด้วย “การได้สัมผัสกับพื้นที่สีเขียวสามารถลดความเครียด ปรับปรุงอารมณ์ และเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมได้” งานวิจัย ระบุ



