ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันศุกร์ (12 ธ.ค.) ว่า ไทยและกัมพูชาได้ตกลงหยุดยิงกันอีกครั้ง การที่การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปตลอดสุดสัปดาห์นั้น ในแง่หนึ่งเป็นบทเรียนเกี่ยวกับข้อจำกัดของอำนาจต่อรองของสหรัฐฯ
สหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยาวนานกับประเทศไทย แต่การเมืองภายในประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยกระแสชาตินิยมที่เพิ่มสูงขึ้น และรัฐบาลที่มองว่าความขัดแย้งนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย อยู่เหนืออิทธิพลใดๆ แม้แต่พันธมิตรที่ทรงอำนาจก็ตาม
ความขัดแย้งนี้เปิดโอกาสให้ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษนิยม ได้แสดงความแข็งแกร่งและรักษาฐานเสียงสนับสนุนจากกองทัพที่ทรงอิทธิพลเอาไว้ได้
ไม่มีใครเสียใจกับการโจมตีศูนย์สแกมเมอร์
เป็นไปได้ว่าสหรัฐฯ เข้าใจเรื่องนี้ และไม่ได้กังวลมากนักเกี่ยวกับประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งของการต่อสู้ที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง นั่นคือ การที่ไทยมุ่งเป้าโจมตีศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชา
คาสิโนในจังหวัดโพธสัตว์ ซึ่งเป็นของ ตรี เพียบ มหาเศรษฐีชาวกัมพูชา เป็นหนึ่งในหลายแห่งที่ไทยทิ้งระเบิดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ตรี เพียบ ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิดกับ ฮุน เซน อยู่ในรายชื่อคว่ำบาตรของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2019 เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงหรือโดยอ้อมใน “การทุจริต รวมถึงการยักยอกทรัพย์สินของรัฐ การยึดทรัพย์สินส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การทุจริตที่เกี่ยวข้องกับสัญญาของรัฐบาลหรือการสกัดทรัพยากรธรรมชาติ หรือการรับสินบน”
เป็นที่แน่ใจได้ว่าคงไม่มีใครเสียใจกับการทำลายคาสิโนของตรี เพียบ ในกรุงเทพฯ วอชิงตัน ดี.ซี. หรือแม้แต่ในปักกิ่ง จีนเองก็เรียกร้องให้ทางการไทยดำเนินการอย่างเด็ดขาดมากขึ้นเพื่อต่อต้านอุตสาหกรรมสแกมเมอร์เช่นกัน
ดังนั้น การโจมตีศูนย์กลางสแกมเมอร์ของไทยจึงไม่ค่อยก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากนานาชาติมากนัก เพราะเป้าหมายเหล่านั้นถูกมองว่าเป็นอาชญากรอยู่แล้ว แต่ทั้งสหรัฐฯ และจีนต้องสร้างสมดุลระหว่างความจำเป็นดังกล่าวกับความต้องการที่จะลดความขัดแย้งก่อนที่จะบานปลายจนแก้ไขไม่ได้
กระแสชาตินิยมในทั้งสองฝ่าย
สำหรับประเทศไทย การโจมตีศูนย์สแกมเมอร์ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะยังเป็นการโจมตีเครือข่ายทางการเงินของชนชั้นสูงในกัมพูชาด้วย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังอ้างว่าศูนย์สแกมเมอร์และคาสิโนที่ถูกโจมตีนั้นถูกใช้เป็นสถานที่ทางทหาร ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ามีความเป็นไปได้
ดูเหมือนว่านายพลของไทยต้องการฉวยโอกาสนี้เพื่อลดขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาลงอย่างมีนัยสำคัญ พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก เสนาธิการทหารบกไทยกล่าวในการสัมภาษณ์กับ Thai PBS ว่า จะลดขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาลงจนถึงจุดที่กัมพูชาจะไม่สามารถเป็นภัยคุกคามทางทหารต่อไทยได้เป็นเวลานาน
กระแสชาตินิยมเกิดขึ้นกับฝั่งกัมพูชาเช่นกัน โดย ฮุน เซน และฮุน มาเนต ก็อยู่ภายใต้แรงกดดันที่จะต้องพิสูจน์ว่าพวกเขามีความสามารถพอที่จะรักษาอธิปไตยของกัมพูชาได้
สองพ่อลูกยังพยายามอย่างหนักที่จะปัดป้องข้อกล่าวหาเรื่องการสมรู้ร่วมคิดของชนชั้นนำในเศรษฐกิจฉ้อโกงของกัมพูชา จากการศึกษาพบว่า การฉ้อโกงอาจสร้างรายได้เทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของกัมพูชา ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดำเนินการในระดับนั้นได้หากปราศจากการสนับสนุนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
กัมพูชากล่าวหาว่า ไทยกำลังโจมตีศูนย์กลางการฉ้อโกงที่คนไทยไม่ได้ลงทุน ซึ่งเป็นการบอกเป็นนัยว่าไทยมีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนี้ แต่ความขัดแย้งนี้ยังเปิดโอกาสให้ชนชั้นนำของกัมพูชาเบี่ยงเบนความสนใจจากอุตสาหกรรมฉ้อโกงที่หยั่งรากและดึงดูดแรงกดดันจากนานาชาติ

การเดินบนเส้นทางภูมิรัฐศาสตร์
ความขัดแย้งนี้ยังมีแง่มุมทางภูมิรัฐศาสตร์ด้วย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัมพูชาพึ่งพาจีนมากขึ้นเรื่อยๆ จีนเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดและเป็นผู้จัดหาอาวุธรายสำคัญ แต่จีนก็ไม่พอใจกับอุตสาหกรรมฉ้อโกงที่เอาเปรียบชาวจีน ทั้งในแง่ของการค้าแรงงานและการตกเป็นเหยื่อ
ขณะที่ไทยแม้จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ แต่ไทยก็มีความเชี่ยวชาญในการรักษาสมดุลความสัมพันธ์
“การดำเนินการต่อต้านเครือข่าย (การฉ้อโกง) เหล่านี้สอดคล้องกับบรรทัดฐานสากลมากกว่าที่จะเป็นการละเมิด” ศาสตราจารย์ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธุ จากศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโตเผยกับ Channel News Asia
“แต่การดำเนินการนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การต่อสู้กับอาชญากรรม มันเป็นการทำลายเครือข่ายข้ามชาติที่มีการจัดตั้งเป็นระบบซึ่งทับซ้อนกับผลประโยชน์ทางการเงินของชนชั้นสูง ส่งสัญญาณถึงความเด็ดขาดต่อผู้นำกัมพูชาที่เอนเอียงไปทางจีน และสร้างความมั่นใจให้กับสหรัฐฯ ว่าประเทศไทยยังคงเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงที่มีประโยชน์”
สันติภาพใดๆ ที่สหรัฐฯ จีน หรือฝ่ายอื่นๆ สร้างขึ้น สุดท้ายแล้วจะเป็นเพียงกลยุทธ์
สาเหตุพื้นฐานของความขัดแย้งที่คุกรุ่นมานานไม่สามารถขจัดได้ง่ายๆ กระแสชาตินิยมของทั้งสองฝ่ายยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ศูนย์กลางการฉ้อโกงและเครือข่ายทางการเงินของชนชั้นนำกัมพูชาได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ภาคอุตสาหกรรมนี้มีความคล่องตัวสูงและจะกระจายตัวและดำเนินต่อไป
นักการเมืองไทยรายหนึ่งซึ่งไม่ได้มาจากพรรคภูมิใจไทยเผยกับ CNA ว่า ยังมีช่วงเวลาที่อันตรายอีกหลายสัปดาห์ก่อนวันที่ 8 กุมภาพันธ์ “ไม่มีใครอยู่ในอารมณ์ที่จะประนีประนอม ถ้าคุณประนีประนอมในช่วงก่อนการเลือกตั้ง คุณจบเลย”
เป็นไปได้มากว่าหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลงแล้วเท่านั้น จึงจะมีโอกาสที่แท้จริงในการปรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอีกครั้ง
Photo by MOHD RASFAN / POOL / AFP



