WMO ชี้โอกาส 55% เกิด ‘ลานีญาอ่อน’ ข้ามปี โลกยังเสี่ยงร้อนจัดแม้อุณหภูมิแปซิฟิกเย็นลง

8 ธ.ค. 2568 - 08:35

  • WMO คาดโอกาส 55% เข้าสู่สภาวะลานีญาอ่อนกำลัง ช่วง ธ.ค. 2025 – ก.พ. 2026 ตัวชี้วัดบ่งชี้สภาพทะเล–บรรยากาศใกล้แตะเกณฑ์ลานีญาเต็มรูปแบบ

  • หลายพื้นที่ทั่วโลกมีแนวโน้ม “ร้อนกว่าปกติ” แม้ลานีญาทำให้อุณหภูมิลดชั่วคราว

  • ภาคเกษตร พลังงาน สุขภาพ และการขนส่งต้องจับตา เพราะรูปแบบฝน–อากาศอาจผันผวนสูงขึ้น ขณะที่ ENSO อาจกลับสู่ภาวะปกติช่วงไตรมาส 2 ปี 2026

WMO ชี้โอกาส 55% เกิด ‘ลานีญาอ่อน’ ข้ามปี โลกยังเสี่ยงร้อนจัดแม้อุณหภูมิแปซิฟิกเย็นลง

อากาศหนาวๆ อุ่นๆ เกิดคำถามว่าตอนนี้โลกเราเข้าสู่สภาวะอะไรอยู่ ล่าสุด องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) อัปเดตว่าปัจจุบันมีความเป็นไปได้ถึง 55% ที่โลกกำลังเข้าสู่ภาวะ “ลานีญาอ่อนกำลัง” ในช่วงเดือนธันวาคม 2025 ถึงกุมภาพันธ์ 2026 แม้ลานีญามักทำให้อุณหภูมิโลกลดลงชั่วคราว แต่รายงานชี้ชัดว่าหลายภูมิภาคทั่วโลกยังคงมีแนวโน้ม “ร้อนกว่าค่าปกติ” เนื่องจากอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระยะยาว

สัญญาณลานีญาเริ่มตั้งแต่กลางพฤศจิกายน

ข้อมูลจากศูนย์ผลิตการพยากรณ์ฤดูกาลระดับโลกของ WMO ระบุว่า ณ กลางเดือนพฤศจิกายน 2025 ตัวชี้วัดด้านมหาสมุทรและบรรยากาศเริ่มบ่งชี้สภาวะใกล้เข้าสู่ “ลานีญาอ่อน” โดยมีโอกาส 55% ที่ค่าตัวชี้วัดจะข้ามเกณฑ์ “ลานีญา” ในช่วง 3 เดือนแรกของฤดูหนาวซีกโลกเหนือ

sustainability-wmo-forecast-weak-lanina-55-percent-global-heat-risk-SPACEBAR-Photo01.jpg

ลานีญา คืออะไร?

“ลานีญา” คือภาวะที่อุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณตอนกลางและตะวันออกของแปซิฟิกเขตร้อนเย็นลงกว่าปกติ ส่งผลให้การหมุนเวียนบรรยากาศเขตร้อนเปลี่ยนแปลง ทั้งรูปแบบลม ความกดอากาศ และปริมาณฝน ซึ่งมักสร้างผลกระทบเฉพาะต่อภูมิภาคที่ไวต่อ ENSO รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

แม้เกิดลานีญา แต่หลายพื้นที่ยังคงเสี่ยงอากาศร้อนกว่าปกติ

รายงาน Global Seasonal Climate Update ระบุว่า ในช่วงเดือนธันวาคม 2025 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2026

  • ซีกโลกเหนือส่วนใหญ่มีแนวโน้มอุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ย
  • หลายพื้นที่ของซีกโลกใต้มีสภาพคล้ายกัน
  • รูปแบบฝนในหลายภูมิภาค “สอดคล้องกับลานีญาอ่อนกำลัง” คือฝนมากขึ้นในบางส่วนของเอเชีย–ออสเตรเลีย

ทั้งนี้ แม้ว่าลานีญามักมีผลทำให้โลกลดความร้อนลงเล็กน้อย แต่ผลกระทบดังกล่าวกำลังถูก “กลบ” ด้วยแนวโน้มโลกร้อนระยะยาว ซึ่งทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและเพิ่มความรุนแรงของสภาพอากาศสุดขั้ว

sustainability-wmo-forecast-weak-lanina-55-percent-global-heat-risk-SPACEBAR-Photo03.jpg

ENSO อาจกลับสู่ภาวะปกติในไตรมาส 2 ปี 2026

สำหรับช่วงมกราคม–เมษายน 2026 ความน่าจะเป็นที่โลกจะกลับสู่สภาวะ ENSO-neutral หรือภาวะเป็นกลาง 45% ขณะที่โอกาสเกิดเอลนีโญ่นั้นต่ำมาก 

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการกลับสู่สภาวะปกติของ ENSO ไม่ได้แปลว่าสภาพอากาศจะกลับมาเสถียร เนื่องจากภาวะโลกร้อนยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการเปลี่ยนแปลงฝน–อุณหภูมิทั่วโลก

ภาคเกษตร–พลังงาน–สาธารณสุข ต้องใช้ข้อมูลพยากรณ์ฤดูกาลวางแผน

“การพยากรณ์เอลนีโญ่และลานีญาเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับภาคส่วนอ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศ เช่น เกษตร พลังงาน การขนส่ง และสุขภาพ รวมถึงการสนับสนุนปฏิบัติการด้านมนุษยธรรม ข้อมูลเหล่านี้ช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่านับล้านดอลลาร์ และช่วยรักษาชีวิตจำนวนมาก”

เซเลสเต ซาอูโล เลขาธิการ WMO ระบุ

ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ลานีญามักส่งผลให้หลายประเทศในเอเชียและแปซิฟิกมี ฝนตกมากกว่าปกติ ซึ่งอาจกระทบการเกษตรและโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งที่ต้องระวังคือ โรคที่มากับยุง เช่น ไข้เลือดออก มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่ที่ฝนตกหนัก ขณะที่ดีมานด์พลังงานยังคงผันผวน เนื่องจากหลายพื้นที่ยังเสี่ยง “อากาศร้อนเหนือค่าเฉลี่ย” แม้อยู่ในช่วงลานีญา

ผลลานีญาอาจทวีความรุนแรง เพราะเกิดบนโลกที่อุ่นขึ้นกว่าเดิมมาก

WMO ชี้ว่าเหตุการณ์ธรรมชาติ เช่น ลานีญาและเอลนีโญ่ กำลังเกิดขึ้น “บนพื้นฐานโลกที่ร้อนขึ้นเป็นประวัติการณ์” ทำให้เหตุการณ์ฝนรุนแรง น้ำท่วมฉับพลัน หรือฝนขาดช่วง อาจหนักกว่าที่เคย รูปแบบฤดูกาลของหลายประเทศไม่เป็นไปตามแบบเดิม โดยมีการคาดการณ์ว่าฝน–อุณหภูมิอาจมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น

WMO ยังติดตามดัชนีสภาพภูมิอากาศอื่นๆ เช่น North Atlantic Oscillation, Arctic Oscillation และ Indian Ocean Dipole ซึ่งล้วนมีผลต่อภาพรวมของฤดูกาลโลก ร่วมกับ ENSO

sustainability-wmo-forecast-weak-lanina-55-percent-global-heat-risk-SPACEBAR-Photo02.jpg

จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากลานีญาจบลง

ตามแบบจำลอง หลังจากลานีญาจบ โลกเข้าภาวะปกติ โลกเราจะเริ่มเสี่ยงต่อการโดนเอลนีโญเล่นงานอีกครั้ง อุณหภูมิผิวน้ำทะเลจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ  และหลังจากนั้นจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด “เอลนีโญ” โดยอาจเกิดขึ้นในช่วงปี 2026 หรือ 2027 ซึ่งหากเป็นเอลนีโญที่รุนแรงก็อาจส่งผลกระทบต่อโลกอย่างหนัก

จะทำอย่างไรเมื่อเอลนีโญ(กลับ)มาอีกครั้ง?

ต้องยอมรับว่า โลกเรากำลังเข้าสู่ยุคที่ไม่สามารถคาดเดาสภาพอากาศได้แน่ชัด ทุกครั้งที่เกิด “เอลนีโญ” หรือ “ลานีญา” โลกจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความร้อนและอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างไม่แน่นอน สิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่การป้องกันน้ำท่วมในเมืองต่างๆ ไปจนถึงการปรับตัวในด้านเกษตรกรรมที่อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้

การปรับตัวเพื่ออนาคตแบบยั่งยืน

ความท้าทายที่เราต้องเผชิญคือ การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งการลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาเกษตรกรรมที่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และการเสริมสร้างระบบน้ำและโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งเป็นภาพใหญ่ในเชิงนโยบาย (เร่งด่วน)

ส่วนการปรับตัวระดับบุคคล ครอบครัว อยากให้เน้นเรื่องการใช้พลังงานทดแทน การปลูกต้นไม้ เรื่องของขยะ รวมถึงอาหาร และการสร้างความตระหนักรู้ให้กับทุกคนเกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  (Climate Change) ที่เราจะต้องทำไปพร้อมๆ กัน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของทุกคนบนโลกใบนี้ หากไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ไปดูวิธีง่ายๆ ได้ที่ ฮาวทูกู้โลกรวน ฉบับพูดง่าย ทำยาก

ท้ายที่สุดแล้ว เราไม่สามารถหยุดการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่สิ่งที่เราทำได้คือการปรับตัวและทำให้โลกของเรายั่งยืนขึ้น เราจะต้องร่วมมือกันเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าในอนาคต ด้วยการมีความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อม และเดินหน้าสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เพราะไม่ใช่แค่เพื่อเรา แต่เพื่อคนรุ่นหลังด้วย

แม้ว่าปี 2025 นี้ โลกจะ พักร้อน จากภาวะเอลนีโญ แต่สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากปีที่ผ่านมาคือ การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติไม่ได้หยุดนิ่ง และโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างไม่หยุดยั้ง ปีนี้นับเป็นเวลาที่เราต้องเร่งปรับตัวสุดขีด และต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพราะโลกของเราไม่เคยหยุดหมุน...และการปรับตัวคือกุญแจสำคัญในการรับมือกับสิ่งที่มาถึง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์