เสียงบ่นว่อนในโลกโซเชียล กับเหตุการณ์น้ำทะเลหนุนสูงพื้นที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สมุทรปราการ พื้นที่ลุ่มต่ำ และชุมชนริมเจ้าพระยาของกรุงเทพมหานคร เนื่องจากน้ำทะเลหนุนสูง ระหว่างวันที่ 4–11 ธันวาคม 2568 สิ่งที่เกิดขึ้นนี้กำลังเป็นภาพสะท้อนชัดว่าพื้นที่กรุงเทพฯ กำลังเผชิญความเสี่ยงจากน้ำล้นตลิ่งมากขึ้นทุกปี โดยเฉพาะเมื่อระดับน้ำทะเลปานกลางเพิ่มสูงขึ้นจาก “ภาวะโลกร้อน”
ข้อมูลจากกองสมุทรศาสตร์ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ระบุเดือนธันวาคม 2568 ระดับน้ำทะเลขึ้นเต็มที่ในหลายวันสูงเกือบ 1.70 เมตร และแตะระดับวิกฤตในบางช่วง ซึ่งถือเป็นภาวะที่ก่อความกังวลอย่างยิ่งต่อทั้งเมืองหลวง และจังหวัดสมุทรปราการ
ชี้จุดเสี่ยงระดับน้ำขึ้นในรอบวันแตะช่วงวิกฤตหลายครั้ง
จากข้อมูลสถานีป้อมพระจุลจอมเกล้า คาดการณ์น้ำทะเลหนุนระหว่างวันที่ 4–11 ธันวาคม 2568 พบระดับน้ำขึ้นสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 1.34–1.70 เมตร โดยเฉพาะวันที่ 5–9 ธันวาคม สูงเกือบ 1.7 เมตร

เช็กตารางน้ำขึ้นเต็มที่ ประจำเดือนธันวาคม 2568
- 4 ธันวาคม 2568 เวลา 05.40 น. สูง 1.34 เมตร
- 5 ธันวาคม 2568 เวลา 06.34 น. สูง 1.56 เมตร
- 6 ธันวาคม 2568 เวลา 07.32 น. สูง 1.65 เมตร
- 7 ธันวาคม 2568 เวลา 08.33 น. สูง 1.68 เมตร
- 8 ธันวาคม 2568 เวลา 09.30 น. สูง 1.67 เมตร
- 9 ธันวาคม 2568 เวลา 10.17 น. สูง 1.65 เมตร
- 10 ธันวาคม 2568 เวลา 10.53 น. สูง 1.58 เมตร
- 11 ธันวาคม 2568 เวลา 11.18 น. สูง 1.46 เมตร
- 12 ธันวาคม 2568 เวลา 11.31 น. สูง 1.32 เมตร
- 19 ธันวาคม 2568 เวลา 06.37 น. สูง 1.37 เมตร
- 20 ธันวาคม 2568 เวลา 07.09 น. สูง 1.41 เมตร
- 21 ธันวาคม 2568 เวลา 07.46 น. สูง 1.41 เมตร
- 22 ธันวาคม 2568 เวลา 08.28 น. สูง 1.42 เมตร
- 23 ธันวาคม 2568 เวลา 09.07 น. สูง 1.44 เมตร
- 25 ธันวาคม 2568 เวลา 10.05 น. สูง 1.43 เมตร
- 26 ธันวาคม 2568 เวลา 10.21 น. สูง 1.37 เมตร

ทั้งนี้ ระดับน้ำขึ้นเต็มที่ใน “จุดวิกฤต” คือ 1.70 เมตรขึ้นไป และการทำนายนี้คิดจากอิทธิพลดวงดาว ยังไม่รวมน้ำเหนือหรือน้ำจากเขื่อน และไม่รวมฝนตกหนักที่อาจทำให้น้ำสูงขึ้นกว่าคาดการณ์
ประกาศเตือนประชาชนริมแม่น้ำ ลำคลอง พื้นที่ลุ่มต่ำ
- เฝ้าระวังระดับน้ำขึ้นสูง
- ยกสิ่งของและปลั๊กไฟขึ้นที่สูง
- ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด
- ตรวจสอบแนวป้องกันน้ำของชุมชนและบ้านเรือน
ผลกระทบต่อประชาชน
ภัยเงียบที่ค่อยๆ กลายเป็น “เรื่องปกติใหม่”
แม้น้ำทะเลหนุนมักเกิดในช่วงเวลาจำกัด แต่ผลกระทบต่อชีวิตประจำวันกลับเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด หลายพื้นที่ริมแม่น้ำต้องยกของขึ้นที่สูง ร้านค้าได้รับผลกระทบจากน้ำเอ่อพื้นล่าง ขณะที่บ้านเรือนบางส่วนต้องวางกระสอบทรายรับแรงดันน้ำ การเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วนยิ่งสะท้อนปัญหาฝนตกแระบายน้ำไม่ทัน เพราะเมื่อทะเลหนุนสูง ประตูระบายน้ำหลายจุดต้องชะลอการระบาย ทำให้ฝนเพียงระลอกเดียวทำให้ท่วมขังนานกว่าปกติ
ประชาชนจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามว่า หากสถานการณ์ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในอีก 10–20 ปีข้างหน้า เมืองหลวงจะมีศักยภาพรับมือได้มากน้อยเพียงใด เพราะทุกครั้งที่เกิดน้ำหนุนสูง ภาพของ “กรุงเทพฯ จมน้ำ” ที่นักวิจัยเคยเตือนก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

โครงสร้างป้องกันอาจไม่พอรับมืออนาคต เมืองต้องคิดใหม่ทั้งระบบ
ขณะนี้กรุงเทพฯ พึ่งพิงแนวคันกั้นน้ำริมเจ้าพระยา เขื่อนริมคลอง และสถานีสูบน้ำเป็นหลัก แต่โครงสร้างเหล่านี้ถูกออกแบบมาภายใต้สภาพภูมิอากาศเมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและพายุมีความรุนแรงมากขึ้นจากภาวะโลกร้อน ระบบเดิมจะต้องรับแรงกดดันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การรับมือในอนาคตจะไม่สามารถใช้เพียง “โครงสร้างแข็ง” แบบเดิมได้อีกต่อไป เมืองจำเป็นต้องใช้แนวทางผสมผสาน ทั้งพื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติ พื้นที่สีเขียว–ชุ่มน้ำ ระบบเตือนภัยแบบเรียลไทม์ และการออกแบบเมืองที่ไม่ขวางทางน้ำ การเพิ่มศักยภาพให้ชุมชนริมคลองสามารถตรวจวัดและแจ้งเตือนระดับน้ำได้เอง ก็เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก
“น้ำทะเลหนุน” แรงกระตุ้นให้เมืองเดินตาม SDGs
สถานการณ์น้ำทะเลหนุนไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เฉียบพลัน แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะ SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน และ SDG 13: การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมืองต้องปรับตัวเชิงระบบ ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และพัฒนากลไกการเตือนภัยที่ครอบคลุมทุกกลุ่มประชาชน ไม่ใช่เฉพาะเขตเศรษฐกิจ แต่รวมถึงชุมชนริมคลองที่เป็นแนวหน้าในการรับผลกระทบ
หากกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ วางแผนรับมือระยะยาวตั้งแต่วันนี้ เมืองจะมีโอกาสยับยั้งความเสียหายที่จะเกิดจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงในอนาคต และทำให้ชีวิตประชาชนปลอดภัยมากขึ้น ตากที่เราเคยนำเสนอเรื่อง โลกร้อนกัดกร่อนเมืองชายฝั่ง ‘กรุงเทพฯ-สมุทรปราการ’ เสี่ยงจมบาดาลปี 2050 หากยังไม่เร่งปรับตัว เหตุการณ์น้ำหนุนสูงในปีนี้อาจเป็นเพียงภาพเริ่มต้นของปัญหาที่รุนแรงกว่านี้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า



