งานวิจัยใหม่เผยว่า “การรวมตัวของเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว น้ำทะเลหนุนสูง และการทรุดตัวของพื้นดิน อาจก่อให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ และลึกขึ้นในเมืองชายฝั่งในอนาคต”
การศึกษานี้ตีพิมพ์ในวารสาร ‘One Earth’ มุ่งเน้นกรณีที่ ‘นครเซี่ยงไฮ้’ ในจีน ซึ่งเสี่ยงน้ำท่วมจากพายุไต้ฝุ่นขนาดใหญ่และรุนแรง หรือพายุโซนร้อน ที่ก่อให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่งและคลื่นยักษ์
เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับสาเหตุน้ำท่วมอื่นๆ เช่น ระดับน้ำในแม่น้ำแยงซีเกียงที่สูงขึ้น ดังเช่นกรณี ‘ไต้ฝุ่นวินนี่’ เมื่อปี 1997 ที่ทำให้น้ำทะเลทะลักท่วมชายฝั่ง จนสร้างความเสียหายมหาศาล คร่าชีวิตผู้คนกว่า 370 ราย และกระทบประชาชนกว่า 29 ล้านคน
กรณีศึกษาเมืองชายฝั่ง ‘นครเซี่ยงไฮ้’ เสี่ยงจม หากไม่ปรับแผนป้องกันน้ำท่วม...

งานวิจัยดังกล่าวดำเนินการโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลีย (UEA), มหาวิทยาลัยครุศาสตร์เซี่ยงไฮ้, และมหาวิทยาลัยเซาแทมป์ตัน ร่วมกับสถาบันอื่นๆ ในจีน สหรัฐฯ และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งได้ประเมินสาเหตุทั้งหมดของน้ำท่วมในเซี่ยงไฮ้ แล้วพบว่าเมื่อพิจารณาถึงสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และการทรุดตัวของพื้นดิน ภายในปี 2100 น้ำท่วมในเซี่ยงไฮ้อาจขยายตัวขึ้นถึง 80% และลึกขึ้นมาก
นักวิจัย ระบุว่า “จำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ ซึ่งรวมถึงการสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมแบบเคลื่อนที่ได้ เช่นเดียวกับกำแพงกั้นแม่น้ำเทมส์ในลอนดอนอน” แต่ก็เตือนด้วยว่ายังมีความเสี่ยงที่จะเกิด ‘ความล้มเหลวอย่างร้ายแรง’ ของระบบป้องกันอันเนื่องมาจากระดับน้ำที่สูงขึ้นโดยเฉพาะจากดินทรุด น้ำทะเลหนุน และคลื่นสูงที่เกิดขึ้นในช่วงพายุไต้ฝุ่น
“ความเสี่ยงนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่ และจำเป็นต้องนำมาพิจารณาในการปรับตัวในเซี่ยงไฮ้และเมืองอื่นๆ ในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ โดยจำเป็นต้องมีแนวป้องกันแบบหลายชั้นแทนที่จะเป็นแนวเดียว”
“ผลการวิจัยเหล่านี้มีผลกระทบที่กว้างขวางยิ่งขึ้นสำหรับเมืองชายฝั่งทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองที่สร้างบนพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำอย่าง ‘นครเซี่ยงไฮ้’...การวิเคราะห์ดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคาดการณ์และสนับสนุนความต้องการในการปรับตัวที่สำคัญในเมืองเหล่านี้” ศาสตราจารย์โรเบิร์ต นิโคลส์ นักวิจัยหลักจากศูนย์วิจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไทน์ดอลล์ (Tyndall Centre for Climate Change Research) กล่าว
เป็นที่ทราบกันดีว่า‘พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่ลุ่มต่ำ’นั้นเป็นที่ตั้งของนครเซี่ยงไฮ้เมืองที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญ ทว่าพื้นที่เหล่านี้กลับมีความเสี่ยงต่อน้ำท่วมจากพายุหมุนเขตร้อน และพายุหมุนนอกเขตร้อนเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้พบว่าน้ำท่วมเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ได้แก่ น้ำขึ้นน้ำลง คลื่นซัดฝั่ง คลื่นน้ำ ปริมาณน้ำในแม่น้ำ และฝน โดยน้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดนั้น มักเกิดจากปัจจัยหลายอย่างพร้อมกัน เช่น ปริมาณน้ำในแม่น้ำสูง และมีพายุในเวลาเดียวกัน
“ความน่าจะเป็นและความรุนแรงของน้ำท่วมมักถูกประเมินต่ำเกินไป เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงน้ำท่วมที่เกิดจากหลายสาเหตุแบบนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการทรุดตัวของดิน รวมถึงการจมตัวของดินในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำทั้งหมด กำลังเพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วม ดังนั้นภัยคุกคามจึงเพิ่มขึ้นในเมืองชายฝั่งทุกแห่ง โดยเฉพาะเมืองสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่เจอปัญหาทั้งหมดนี้” ศาสตราจารย์นิโคลส์ กล่าว
สร้างแบบจำลองสถานการณ์น้ำท่วมในอนาคต
ทีมวิจัยได้ใช้แบบจำลองบรรยากาศ มหาสมุทร และชายฝั่ง (AOCM) ของภูมิภาคเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รวมปัจจัยที่ทำให้เกิดน้ำท่วมทั้งหมดไว้ด้วยกัน โดยนำเหตุการณ์ไต้ฝุ่น 10 เหตุการณ์ในอดีตที่ก่อให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง มาจำลองการเปลี่ยนแปลงในอีก 75 ปีข้างหน้าไปจนถึงปี 2100 ภายใต้ระดับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการทรุดตัวของดินที่ต่างกัน
การรับมือกับความท้าทายนี้แทบจะเป็นการยกระดับระบบป้องกัน เนื่องจากเซี่ยงไฮ้และเมืองสามเหลี่ยมปากแม่น้ำส่วนใหญ่มีระบบป้องกันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ระดับน้ำที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการทรุดตัวของดิน น้ำทะเลหนุนสูง และคลื่นสูงที่เกิดขึ้นในช่วงพายุไต้ฝุ่นนั้นต่างเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงล้มเหลวอย่างร้ายแรง และเกิดน้ำท่วมใหญ่ หากระบบป้องกันล้มเหลว
“ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘polder effect’ (เมื่อกำแพงป้องกันล้มเหลว) ยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการวางแผนการปรับตัวในเซี่ยงไฮ้และเมืองอื่นๆ ในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ แทนที่จะพึ่งพาการป้องกันเพียงแนวเดียว แต่การป้องกันแบบหลายชั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เมืองเหล่านี้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต”
— ศาสตราจารย์นิโคลส์ กล่าว
(Photo by : Shutterstock / Lushengyi)

.jpg&w=3840&q=75)

