เสียงสะท้อนจากผู้ป่วย ‘มะเร็งปอด’ อีกความหวังผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ

19 ส.ค. 2568 - 03:12

  • ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ 23,713 รายต่อปี เฉลี่ย 2.7 รายต่อชั่วโมง และ 57% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดมักตรวจพบในระยะที่ 4

  • “มะเร็งปอด” ไม่ใช่แค่โรคของคนสูบบุหรี่อีกต่อไป งานวิจัยชี้ฝุ่น PM2.5 เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดมากถึง 15% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

เสียงสะท้อนจากผู้ป่วย ‘มะเร็งปอด’ อีกความหวังผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ

สิงหาคม เป็นเดือนแห่งการตระหนักรู้ “โรคมะเร็งปอดสากล” มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง ร่วมกับกลุ่มเพื่อนมะเร็งปอด และภาคีพันธมิตร จัดงานเสวนา “เพราะทุกลมหายใจมีค่า…ก้าวผ่านมะเร็งปอด รู้เร็ว รับมือได้” โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจใหม่ในสังคมไทยว่า โรคมะเร็งปอดไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่อีกต่อไป แต่ยังมี “ฝุ่น PM2.5” ที่แฝงตัวอยู่ในอากาศ ที่กลายเป็นภัยเงียบบั่นทอนสุขภาพของประชาชนในทุกช่วงวัย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ไนยรัฐ ประสงค์สุข หัวหน้าแผนกอายุรศาสตร์โรคมะเร็ง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ไนยรัฐ ประสงค์สุข หัวหน้าแผนกอายุรศาสตร์โรคมะเร็ง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ไนยรัฐ ประสงค์สุข หัวหน้าแผนกอายุรศาสตร์โรคมะเร็ง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่สูงถึง 23,713 รายต่อปี หรือเกือบ 2.7 รายต่อชั่วโมง และโรคนี้ยังคงครองอันดับสองของสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งในประเทศ โดยมีงานวิจัยระบุว่า ฝุ่น PM2.5 เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดมากถึง 15% อีกทั้งแนวโน้มยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่เพียงตัวเลขผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น แต่ยังรวมถึงการที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ได้รับการตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายกรณีถูกวินิจฉัยเมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม ข้อมูลจากทั้งในประเทศและภูมิภาคเอเชียพบว่า 57% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดถูกตรวจพบในระยะที่ 4 ขณะที่มีเพียง 16% เท่านั้นที่พบในระยะแรก ทั้งที่หากตรวจพบตั้งแต่เริ่มต้น โอกาสรักษาหายมีสูงถึง 92% แต่เมื่อเข้าสู่ระยะที่ 4 การรักษาจะซับซ้อน ต้องใช้การดูแลแบบบูรณาการ ทั้งเคมีบำบัด การฉายรังสี และยามุ่งเป้า ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง การตระหนักรู้และการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดตั้งแต่เนิ่นๆ จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่คือความจำเป็น เพราะยิ่งตรวจเจอไว ยิ่งรักษาได้เร็ว และนั่นอาจหมายถึงโอกาสในการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

“มะเร็งปอด” ไม่ใช่แค่โรคของคนสูบบุหรี่อีกต่อไป

ประสบการณ์จริงของผู้ป่วยในเวทีเสวนา สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะใส่ใจสุขภาพแค่ไหนก็ตาม

“แม้จะออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ ไม่มีคนในครอบครัวที่สูบบุหรี่เลย แต่ก็พบว่าตนเองเป็นมะเร็งปอดจากการตรวจสุขภาพประจำปี และต้องรักษาอย่างต่อเนื่องทั้งการผ่าตัด เคมีบำบัด และยามุ่งเป้า การรักษาเหล่านี้ไม่เพียงใช้เวลายาวนาน แต่ยังส่งผลต่อร่างกายและจิตใจ อีกทั้งยังตามมาด้วยภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก แม้จะได้รับการรักษาตามสิทธิ์ แต่ยามุ่งเป้าที่จำเป็นต้องใช้ทุกวัน จำนวน 30 เม็ดต่อเดือน ยังคงมีค่าใช้จ่ายสูงถึงประมาณ 70,000 บาทต่อเดือน ทำให้ความกังวลไม่ได้อยู่เพียงเรื่องสุขภาพ แต่รวมถึงภาระทางการเงินที่ต้องเผชิญในระยะยาวด้วย”

คุณศุภาทร กัลยาณสุต หนึ่งในผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 กล่าว

เช่นเดียวกับ คุณจิตนิภา ภักดี ที่ตรวจพบมะเร็งปอดระยะที่ 4 เปิดเผยว่า เธอตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 ในขณะมีอายุเพียง 29 ปี ทั้งที่ไม่มีประวัติสูบบุหรี่หรือพฤติกรรมเสี่ยงใดๆ สิ่งที่ทำให้ตั้งคำถามคือการเติบโตมาในจังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีหมอกควันและค่าฝุ่น PM2.5 สูงในบางช่วงของปี จึงเชื่อว่ามลพิษทางอากาศอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยอาการเริ่มต้นมีทั้งไอเรื้อรัง น้ำหนักลดลงรวดเร็ว และเหนื่อยง่ายต่อเนื่องนาน 2 เดือน เมื่อตัดสินใจเข้ารับการตรวจอย่างละเอียด ก็พบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4  พร้อมการกลายพันธุ์ของยีน EGFR ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่ไม่เคยสูบบุหรี่ การวินิจฉัยในระยะลุกลามส่งผลกระทบอย่างหนักทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และการใช้ชีวิต เหตุการณ์นี้ทำให้ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่า มะเร็งปอดไม่ได้เกิดแค่กับผู้สูงอายุหรือคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง แต่อายุน้อยก็สามารถเป็นได้ และโรคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

อีกเสียงจากผู้ดูแลผู้ป่วยก็ไม่แพ้กัน คุณวิศรุต อุ่นอารมณ์ ลูกชายผู้ดูแลคุณแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 4 กล่าวว่า “แม้ครอบครัวจะระมัดระวัง ใส่ใจสุขภาพ ใช้เครื่องฟอกอากาศ ปลูกต้นไม้รอบบ้าน แต่ก็ไม่เคยพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพ เพราะคิดว่าไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากไม่เคยสูบบุหรี่ สุดท้ายกลับพบว่าคุณแม่เป็นมะเร็งปอดระยะลุกลาม และไม่สามารถใช้ยามุ่งเป้าได้เนื่องจากร่างกายอ่อนแอเกินไป”

sustainability-voices-from-lung-cancer-patients-SPACEBAR-Photo02.jpg

เสียงเรียกร้องสู่สิทธิในการ “หายใจอากาศสะอาด”

ขณะที่จำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดจากฝุ่น PM2.5 เพิ่มสูงขึ้น ข้อเสนอเชิงนโยบายจากภาคประชาชนเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะการผลักดัน “พระราชบัญญัติอากาศสะอาด” ให้เป็นกฎหมายระดับชาติ

“สุขภาพที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล แต่คือรากฐานของสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน เราเชื่อว่า ‘สิทธิในการหายใจอากาศสะอาด’ ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน โดยเฉพาะในยุคที่ PM2.5 กลายเป็นต้นตอของปัญหาสุขภาพเรื้อรังทั่วประเทศ”

คุณกัญฐนา อภิรภากรณ์ จากสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ ระบุ

ปัจจุบัน พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาล โดยภาคประชาชนและองค์กรต่างๆ หวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการมลพิษจากต้นทางอย่างยั่งยืน เพื่อให้ทุกคนในประเทศไทยได้มี “ลมหายใจที่ปลอดภัย” และไม่ต้องจ่ายค่ารักษาชีวิตในราคาที่สูงเกินไป

เทคโนโลยี AI กับระบบสุขภาพไทย

หนึ่งในความหวังของระบบสาธารณสุขไทย คือการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยตรวจคัดกรองโรคจากภาพเอกซเรย์ทรวงอก ซึ่งสามารถช่วยแพทย์คัดกรองมะเร็งปอดในระยะแรกได้อย่างแม่นยำ ปัจจุบันได้ถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิประโยชน์ภายใต้ “บัตรทอง 30 บาท” แล้ว ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบสุขภาพไทย ที่กำลังขับเคลื่อนจาก “การรักษาระยะท้าย” สู่ “การวินิจฉัยและป้องกันตั้งแต่ต้นทาง”

ด้วยนโยบายที่ชัดเจน เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และความตื่นตัวของสังคม การสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืนสำหรับคนไทยจึงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป และต้องเริ่มจากการตระหนักรู้ พร้อมกล้าที่จะยืนยันว่า “ทุกคนมีสิทธิ์หายใจอากาศที่ปลอดภัย และมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น”

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์