UN ส่งสัญญาณเตือนครั้งใหญ่สุดต่ออนาคตมนุษยชาติ ย้ำโลกต้องเลิกสน GDP

11 ธ.ค. 2568 - 07:01

  • รายงาน GEO-7 เตือนโลกร้อนทะลุ 2°C เร็วกว่าที่คาด ฉุดเศรษฐกิจโลกทรุด 20% หากยังพัฒนาเท่าเดิม

  • UN ชี้การลงทุนฟื้นระบบนิเวศ–พลังงาน–อาหาร อาจสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่

  • รายงานย้ำโลกต้อง “เลิกพึ่ง GDP” และหันสู่ตัวชี้วัดความมั่งคั่งรวม เพื่อหยุดหนี้สิ่งแวดล้อมที่กำลังสะสมจนถึงจุดวิกฤต

UN ส่งสัญญาณเตือนครั้งใหญ่สุดต่ออนาคตมนุษยชาติ ย้ำโลกต้องเลิกสน GDP

องค์การสหประชาชาติ เปิดเผยรายงานฉบับใหม่ Global Environment Outlook 7 : A Future We Choose: A Future We Chooseในสมัยประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEA) เผยระบบนิเวศกำลังถึงจุดพลิกผัน หากมนุษยชาติยังคงพัฒนา “ตามปกติ” โลกจะเผชิญทั้งความปั่นป่วนทางสภาพภูมิอากาศ ภาวะเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ และผลกระทบทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ไม่อาจย้อนกลับได้

รายงาน GEO-7 ถือเป็นการประเมินสถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลกที่ครอบคลุมที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ผ่านการทำงานร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ 287 คน จาก 82 ประเทศ และเป็นครั้งแรกที่มีการรวมองค์ความรู้จากระบบเศรษฐกิจ–สังคม เข้ากับแบบจำลองทางสิ่งแวดล้อมในระดับที่ละเอียดที่สุด เพื่อทำนายทิศทางโลกถึงช่วงปี 2070 และศตวรรษหน้า

ต้นทุนความเสียหายที่ซ่อนอยู่ทำให้โลกจ่ายแพงขึ้นทุกปี

รายงานชี้ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเพียงความท้าทายเชิงนิเวศ แต่เป็น “มรสุมทางเศรษฐกิจและสาธารณสุข” ที่เพิ่มความรุนแรงทุกปี

  • 
ก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.5% ตั้งแต่ปี 1990 และแตะระดับสูงสุดในปี 2024
  • ความเสื่อมโทรมของที่ดินครอบคลุมพื้นที่โลก 20–40% กระทบประชากรกว่า 3,000 ล้านคน
  • มลพิษทุกรูปแบบคร่าชีวิตประมาณ 9 ล้านรายต่อปี
  • ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจาก “มลพิษอากาศ” เพียงอย่างเดียวมีมูลค่าถึง 8.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นมากกว่า 6% ของ GDP โลก

นี่ยังไม่นับรวมความเสียหายจากวิกฤตอาหาร การลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ และผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ซึ่งแตะระดับความเสียหายปีละกว่า 143,000 ล้านดอลลาร์

โลกกำลังจ่ายต้นทุนมหาศาลเพื่อ “รักษาผลข้างเคียงของระบบที่กำลังพัง” มากกว่าการลงทุนปรับซ่อมระบบตั้งแต่ต้นทาง

sustainability-un-geo7-warning-humanity-stop-gdp-SPACEBAR-Photo V01.jpg

สัญญาณวิกฤต

โลกกำลังมุ่งหน้าเกินกว่า 2°C อย่างรวดเร็ว

นักวิทยาศาสตร์ 287 คน จาก 82 ประเทศ เผยบทสรุปเบื้องต้นว่าหากโลกยังไม่ทำอะไร อุณหภูมิเฉลี่ยอาจสูงเกิน 1.5°C ในช่วงต้นทศวรรษ 2030 และทะลุ 2°C ภายในทศวรรษ 2040 ซึ่งจะหมายถึง

  • การเร่งตัวของการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก
  • การเปลี่ยนโครงสร้างของภูมิภาคป่าและทุ่งหญ้าทั่วโลก
  • การเพิ่มขึ้นของภัยแล้งและอุทกภัย
  • ความเสี่ยงด้านอาหารที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผลผลิตต่อหัวลดลงราว 3.4% ภายในปี 2050

UN เตือนว่าภายใต้เส้นทางนี้ เศรษฐกิจโลกอาจหดตัว 4% ภายในปี 2050 และสูงถึง 20% ภายในปี 2100 ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนความเสียหายใหญ่หลวงกว่าช่วงสงครามโลก หรือวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใดในประวัติศาสตร์มนุษย์

แผนพลิกโลก

5 ระบบหลักที่ต้องเปลี่ยนเพื่อรักษาอนาคต

รายงาน GEO-7 ไม่เพียงวิเคราะห์ความเสี่ยง แต่เสนอ “แผนแม่บทการฟื้นฟูระบบโลก” ที่ครอบคลุม 5 ระบบหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจ ขยะ พลังงาน อาหาร และระบบนิเวศ หากการเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้นจริง โลกจะได้รับผลลัพธ์มหาศาล

แบบจำลองคาดการณ์ว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระดับโลกจะเริ่มปรากฏราวปี 2050 พุ่งขึ้นเป็นอย่างน้อย 20 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ภายในปี 2070 จากนั้นจะขยายต่อเนื่องจนแตะระดับ 100 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ในช่วงศตวรรษหน้า

ไม่ใช่เพียงตัวเลขเชิงเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นผลลัพธ์ด้านคุณภาพชีวิต เช่น ลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร “9 ล้านราย” และช่วยให้ประชาชนเกือบ “300 ล้านคน” หลุดพ้นจากความยากจนและภาวะทุพโภชนาการ

sustainability-un-geo7-warning-humanity-stop-gdp-SPACEBAR-Photo V02.jpg

เศรษฐกิจแบบใหม่

โลกต้อง “เลิก” พึ่งพา GDP เป็นตัวนำทาง

หนึ่งในข้อเสนอที่ทรงพลังที่สุดของ GEO-7 คือการขยับออกจากการใช้ GDP เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของประเทศ และหันไปสู่ดัชนี “ความมั่งคั่งรวม” ซึ่งสะท้อนทุนมนุษย์ ทุนธรรมชาติ และความสามารถในการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจ 

GDP ที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับป่าไม้ที่ถูกทำลาย มลพิษที่เพิ่มขึ้น หรือสุขภาพที่แย่ลง คือการเติบโตแบบ “หนี้สิ่งแวดล้อม” ที่ต้องจ่ายคืนในอนาคต

ดัชนีชี้วัดชุดใหม่จะช่วยปรับกระบวนทัศน์ของระบบเศรษฐกิจให้เห็น “ต้นทุนที่แท้จริง” ของการพัฒนาแบบดั้งเดิม และผลักดันให้ประเทศต่างๆ ลงทุนในระบบนิเวศที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนายั่งยืน

พลังงาน อาหาร และวัสดุ

จุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างของศตวรรษ

เพื่อให้โลกบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 จำเป็นต้องใช้การเปลี่ยนผ่านระดับโครงสร้าง

ในระบบพลังงาน โลกต้องลดคาร์บอนอย่างเร่งด่วน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความยั่งยืนในห่วงโซ่แร่ธาตุสำคัญซึ่งเป็นหัวใจของเทคโนโลยีพลังงานสะอาด


ในระบบอาหาร ต้องเปลี่ยนสู่รูปแบบการผลิตที่ลดการใช้ทรัพยากร ฟื้นฟูดิน และลดการสูญเสียอาหารอย่างเป็นระบบ


ในระบบวัสดุ โลกต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ให้หมุนเวียนได้ตั้งแต่ต้นทาง และปรับพฤติกรรมผู้บริโภคสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างแท้จริง

ต้นทุนของการลงมือทำสูง

แต่ต้นทุนของการ "ไม่ทำ" รุนแรงกว่าอย่างเทียบไม่ติด

แม้ว่าโลกอาจต้องลงทุนราว 8 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวจนถึงปี 2050 แต่เมื่อเปรียบเทียบกับความเสียหายที่กำลังเกิดขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจ ชีวิตผู้คน การขาดแคลนอาหาร และการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ ต้นทุนของการเพิกเฉยนั้นสูงกว่ามหาศาล

“พลาสติก 8,000 ล้านตันที่กำลังสะสมในสิ่งแวดล้อม และการสูญเสียที่ดินอุดมสมบูรณ์ขนาดเท่าประเทศใหญ่ทุกปี คือหลักฐานของระบบที่กำลังเดินผิดทิศอย่างลึกซึ้ง”

รายงาน ระบุ

จุดตัดของมนุษยชาติ

หน้าต่างของโอกาสยังเปิดอยู่ แต่กำลังแคบลงอย่างรวดเร็ว

รายงาน GEO-7 ระบุชัดว่าการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดความร่วมมือจากรัฐบาล ภาคเอกชน นักวิชาการ ภาคประชาชน และชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะชนพื้นเมืองซึ่งมีองค์ความรู้ด้านระบบนิเวศมายาวนาน

ข่าวจากรายงานนี้ ไม่ใช่เพียงรายงานเตือนภัย แต่คือพิมพ์เขียวสำหรับการแก้ปัญหาในระดับระบบ ที่กำลังมี “หน้าต่างแห่งโอกาส” เปิดให้มนุษยชาติเพียงครั้งเดียวในศตวรรษนี้

...คำถามสำคัญสำหรับโลกในเวลานี้ ไม่ใช่ “เราจะลงมือหรือไม่?” แต่เป็น “เราจะลงมือทันเวลาหรือไม่?”และผลลัพธ์ที่ตามมาจะกำหนดอนาคตของโลก…ไปอีกหลายชั่วอายุคน

อ้างอิง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์