ที่โลกร้อนขึ้นเพราะมนุษย์ช่วยกันทำให้อากาศสะอาดขึ้น จริงหรือ?

19 ส.ค. 2568 - 09:24

  • เปิดสมมุติฐานสุดงง “ที่โลกร้อนขึ้นเพราะมนุษย์ช่วยกันทำให้อากาศสะอาดขึ้น”

  • แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัด การลดมลพิษในเอเชียตะวันออกทำให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.07°C และอาจเป็นเหตุเร่งให้โลกร้อน เพราะม่านหมอกที่ป้องกันแสงอาทิตย์หายไป

ที่โลกร้อนขึ้นเพราะมนุษย์ช่วยกันทำให้อากาศสะอาดขึ้น จริงหรือ?

หลายปีมานี้เราเห็นข่าวทุบสถิติ “ปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์” บ่อยขึ้นจนน่าตกใจ ภาพคลื่นความร้อนบุกเมืองใหญ่ รายงานไฟป่าที่ลุกลามเร็วกว่าที่เคยเกิดขึ้น เหตุการณ์น้ำท่วม ดินถล่ม ภัยพิบัติทุกรูปแบบที่มาแบบไม่มีฤดูกาล ล้วนชี้ให้เห็นว่าโลกเรากำลังเปลี่ยนไปเร็วขึ้นจนมนุษย์ปรับตัวไม่ทัน

คำถามใหญ่คือ ทำไมภาวะโลกร้อนจึงเร่งตัวเร็วกว่าที่คาด?

นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามหาคำตอบ และล่าสุดงานวิจัยใหม่กลับมามองสมมุติฐานที่ฟังดู “ย้อนแย้ง” สุดๆ ว่าการที่มนุษย์ลดมลพิษทางอากาศ หรือเพราะอากาศที่สะอาดขึ้น โดยเฉพาะในจีนและเอเชียตะวันออก อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โลกยิ่งร้อนเร็วขึ้น!!!

ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?

แน่นอนว่ามลพิษทางอากาศคือปัญหาใหญ่ต่อสุขภาพของผู้คน โดยเฉพาะในเมืองอุตสาหกรรมหนาแน่นอย่างในประเทศจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเผชิญวิกฤตฝุ่นควัน และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) อย่างหนัก แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้ก็คือ มลพิษเหล่านั้นเคยช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ (อย่างไม่ตั้งใจ) เพราะทุกอย่างมีสองด้านเสมอ เช่นเดียวกับมลพิษทางอากาศ ทั้งฝุ่นควัน ละออง สารแขวนลอย และมลพิษอื่นๆ ก็มีคุณสมบัติในการสะท้อนแสงอาทิตย์กลับสู่อวกาศ ทำให้แสงบางส่วนไม่ตกถึงพื้นโลก จึงเกิดเกราะบางๆ ที่ส่งผลให้เกิด “ความเย็นเทียม” ช่วยหน่วงไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเร็วเกินไป

เมื่อหลายประเทศโดยเฉพาะจีน เริ่มจริงจังกับการลดมลพิษตั้งแต่ปี 2013 โดยลดการปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้ถึง 75% ในเวลาไม่ถึงสิบปี โลกจึงค่อยๆ สูญเสียเกราะสะท้อนแสงแบบไม่ตั้งใจนี้ไป และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ “ความร้อน” ที่เริ่มแสดงตัวในระดับที่น่ากังวล

กราฟแสดงผลการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิพื้นผิวจากผลของการลดมลภาวะในเอเชียตะวันออก
กราฟแสดงผลการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิพื้นผิวจากผลของการลดมลภาวะในเอเชียตะวันออก

แบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ยืนยันโลกร้อนขึ้นจริงหลังลดมลพิษ

ทีมวิจัยจากนานาชาติ 8 กลุ่มได้จัดทำโครงการเปรียบเทียบแบบจำลองละอองลอยระดับภูมิภาค (RAMIP) โดยรันแบบจำลองสภาพภูมิอากาศกว่า 160 ชุด เพื่อศึกษาผลกระทบของการลดมลพิษทางอากาศในเอเชียตะวันออก และพบว่าภาวะโลกร้อนที่เร่งตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2010 ส่วนหนึ่งเกิดจาก “การลดมลพิษ” อย่างเข้มข้นนั่นเอง

แม้จะดูเป็นตัวเลขเล็กน้อย เพียง 0.07°C จากการลดมลพิษเพียงอย่างเดียว แต่นั่นคือจิ๊กซอว์ที่หายไป เพราะจากแนวโน้มเดิม นักวิทยาศาสตร์คาดว่าโลกควรจะร้อนขึ้นประมาณ 0.23°C ตั้งแต่ปี 2010 แต่สิ่งที่วัดได้จริงคือ 0.33°C ส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นมา 0.1°C นี้เองคือสัญญาณที่เราเพิ่งเริ่มเข้าใจ

แล้วเราควรหยุดลดมลพิษไหม?

แน่นอนว่า “ไม่” เพราะสุขภาพของเราคือสิ่งสำคัญที่สุด และมลพิษคือภัยร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนมากมายในทุกปี โดยเฉพาะโรคมะเร็งปอด ทว่า สิ่งที่เราควรทำจริงๆ คือเลิกฝากความหวังไว้กับเกราะเทียมอย่างมลพิษ และหันไปจัดการกับต้นเหตุแท้จริงของปัญหา นั่นคือ “ก๊าซเรือนกระจก” จากเชื้อเพลิงฟอสซิล

sustainability-the-air-is-cleaner-but-why-is-the-world-getting-warmer-SPACEBAR-Photo01.jpg

อ่านมาถึงตรงนี้ ฝากย้ำว่าความเข้าใจผิดที่อันตรายคือ การคิดว่าการลดมลพิษ “เป็นตัวการ” ที่ทำให้โลกร้อน เพราะในความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นคือมลพิษถูกกำจัดออกไป แล้วผลกระทบที่เคยถูกซ่อนไว้ก็เผยออกมา เหมือนเราเพิ่งเอาร่มที่บังแดดไว้ออกให้โลก แล้วเห็นสภาพที่แท้จริงของภาวะโลกร้อนที่สร้างไว้ตั้งแต่คราวบรรพบุรุษ ซึ่งต้นเหตุยังคงเป็นเหมือนเดิมคือ “ก๊าซเรือนกระจก” ที่มาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล การตัดไม้ทำลายป่า และอุตสาหกรรมการผลิต

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ฝุ่นควัน” อาจสลายตัวในบรรยากาศได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่ “ก๊าซเรือนกระจก” ยังอยู่กับโลกนานเป็นร้อยปี

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์