ใกล้สิ้นปี...เรื่องราวลบๆ ด้านสิ่งแวดล้อมและข่าวไม่ค่อยดีมีเยอะ ครั้งนี้ SPACEBAR ขอนำเสนอมุมดีๆ ที่โลกมีด้วยรายงานพิเศษ ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของชั้นบรรยากาศโลกที่เกิดขึ้นจริงครั้งแรกในรอบหลายสิบปี
รายงานล่าสุดจากองค์การ NASA และ NOAA เปิดเผยความคืบหน้าที่มีนัยสำคัญต่อสถานการณ์บรรยากาศโลก หลังข้อมูลปี 2025 แสดงให้เห็นว่า รูโหว่โอโซนเหนือแอนตาร์กติกา มีขนาดเล็กเป็นอันดับ 5 ตั้งแต่ปี 1992 ซึ่งเป็นปีแรกที่พิธีสารมอนทรีออลเริ่มส่งผลจริงต่อการลดใช้สารทำลายชั้นโอโซนทั่วโลก
แม้ว่าขนาดเฉลี่ยของรูโอโซนในปีนี้จะอยู่ที่ 7.23 ล้านตารางไมล์ แต่แนวโน้มการหดตัวชัดเจนขึ้น ทั้งด้านพื้นที่ ระยะเวลาการคงอยู่ และอัตราการเกิดการสลายตัวของโอโซน ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับแบบจำลองการฟื้นตัวระยะยาวที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ตลอด 10 ที่ผ่านมา

ข้อมูลจากระบบดาวเทียมของทั้งสองหน่วยงานชี้ว่าในช่วงพีคของฤดูกาลสลายตัว ในช่วงระหว่างวันที่ 7 กันยายน–13 ตุลาคม รูโอโซนมีขนาดเล็กลงอย่างต่อเนื่องและเริ่มแตกตัวเร็วกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ค้างอยู่เกือบ 3 สัปดาห์ ถือเป็นสัญญาณว่ากระบวนการฟื้นตัวกำลังเกิดขึ้นจริงในระดับโครงสร้างของสตราโตสเฟียร์
การลดลงของคลอรีนและโบรมีนในชั้นบรรยากาศ
ตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศทั่วโลกดำเนินนโยบายลดการใช้ CFCs และสารทำลายชั้นโอโซนรูปแบบต่างๆ ตามพันธกรณีในพิธีสารมอนทรีออล ส่งผลให้ระดับคลอรีนและโบรมีนในสตราโตสเฟียร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
“ระดับสารทำลายชั้นโอโซนที่วัดได้เหนือแอนตาร์กติกาในปีนี้ลดลงประมาณหนึ่งในสามจากระดับสูงสุดเมื่อปี 2000 ซึ่งสอดคล้องกับความคาดหวังทางวิทยาศาสตร์ที่ว่าชั้นบรรยากาศจะค่อย ๆ ฟื้นตัวภายในกลางหรือปลายศตวรรษนี้”
— สตีเฟน มอนต์ซกา นักวิทยาศาสตร์อาวุโสของ NOAA ระบุ
ในขณะเดียวกัน พอล นิวแมน หัวหน้าทีมวิจัยโอโซนจาก NASA Goddard ยืนยันว่า หากระดับคลอรีนในสตราโตสเฟียร์ยังเท่ากับเมื่อ 25 ปีก่อน รูโอโซนปี 2025 จะมีขนาดใหญ่กว่านี้อย่างน้อย 1 ล้านตารางไมล์ ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงผลลัพธ์โดยตรงของนโยบายควบคุมสารทำลาย “ชั้นโอโซน”
ปัจจัยทางอุตุนิยมวิทยาที่ช่วยเสริมการฟื้นตัวในปีนี้
รายงานของ NOAA ระบุว่า Polar Vortex ที่อ่อนตัวกว่าปกติในเดือนสิงหาคม ทำให้อุณหภูมิในสตราโตสเฟียร์สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ย ปัจจัยดังกล่าวมีผลลดความเร็วของปฏิกิริยาเคมีที่ทำลายโอโซน จึงอาจเป็นเหตุผลเสริมให้รูโอโซนปีนี้มีขนาดเล็กลงกว่าปีโดยทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอุตุนิยมวิทยามีผลเฉพาะปีต่อปี แต่เส้นแนวโน้มระยะยาวที่ชัดเจนคือผลจากการลดการปล่อยสารเคมีทำลายโอโซน ซึ่งเป็นตัวกำหนดสถานะของชั้นบรรยากาศอย่างแท้จริง
โมเดลของโอโซนอาจเป็นต้นแบบแก้ “ปัญหาโลกร้อน”
การฟื้นตัวของชั้นโอโซนได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในแวดวงวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างรูปธรรมที่สุดของความสำเร็จจากความร่วมมือข้ามพรมแดน
พิธีสารมอนทรีออล ปี 1987 ซึ่งบังคับให้ประเทศทั่วโลกเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมที่เคยใช้ CFCs ไปสู่สารทดแทนที่ปลอดภัยกว่า ถือเป็นพันธกรณีระดับโลกที่มีผลตอบแทนชัดเจนที่สุด ทั้งในด้านสุขภาพของมนุษย์ ความปลอดภัยของระบบนิเวศ และเสถียรภาพทางบรรยากาศ
นักวิเคราะห์บางรายมองว่า ความสำเร็จนี้เป็นบทเรียนเชิงนโยบายที่สำคัญต่อการจัดการปัญหาโลกร้อน เพราะพิสูจน์แล้วว่า “การลดสารตั้งต้น” คือกลไกที่สามารถสร้างผลลัพธ์ชัดเจน แม้จะต้องใช้เวลานานหลายทศวรรษกว่าที่โลกจะเห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม
เส้นทางข้างหน้า(ยัง)อีกยาวไกล
แม้ว่า “รูโหว่โอโซน” จะมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ NASA และ NOAA ย้ำว่าเส้นทางสู่การฟื้นตัวเต็มรูปแบบยังอีกยาวไกล สารเคมีต้องห้ามจำนวนมากยังคงค้างอยู่ในตลาดเก่า ฉนวนอาคาร และของเสียในหลุมฝังกลบ ซึ่งยังปล่อยคลอรีนและโบรมีนออกมาสู่บรรยากาศในระดับที่อาจมีผลต่อโครงสร้างความเสถียรของชั้นโอโซน
แบบจำลองปัจจุบันคาดว่า รูโอโซนจะกลับสู่ระดับใกล้เคียงก่อนยุค CFCs ในช่วงปลายทศวรรษ 2060 ซึ่งหมายความว่าโลกต้องคงการเฝ้าระวัง การวิจัย และการบังคับใช้ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวดต่อไป
บทเรียนระดับโลก
รายงานปี 2025 ของ NASA และ NOAA กำลังแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในสตราโตสเฟียร์ที่กำลังเกิดขึ้นจริง และตอกย้ำว่ามาตรการระหว่างประเทศที่ถูกออกแบบอย่างมีวิทยาศาสตร์รองรับ สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกที่จับต้องได้ในระดับบรรยากาศโลก

ในช่วงเวลาที่ “วิกฤตภูมิสภาพอากาศ” กำลังเร่งเร้ามนุษยชาติ การฟื้นตัวของชั้นโอโซนไม่เพียงเป็นสัญญาณของความหวัง แต่ยังเป็นหลักฐานชัดเจนว่า “การตกลงร่วมกัน” ของมนุษย์สามารถเปลี่ยนทิศทางของระบบโลกได้จริง หากทำอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และไม่หยุดเพียงครึ่งทาง
…ทว่า น่าเสียดายที่หลายประเทศยังมิอาจ “ตกลง” บางอย่างร่วมกัน เพื่อผลักดันเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) วันนี้ “เสียงระเบิด” ยังดังกว่าความยั่งยืน เป้าหมาย SDGs ทั้ง 17 ข้อก็ไร้ซึ่งความหมาย หากมนุษย์โลกยังไม่สามารถบรรลุข้อ 16 ที่ว่าด้วย “สันติภาพ ความยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง”
เพราะเมื่อระเบิด 1 ลูกดังขึ้นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 ข้อ...ก็เงียบลง



