โลกเดือดทำราคาอาหารพุ่ง คุณภาพชีวิตดิ่ง ชนชั้นกลางอ่วม

23 ก.ค. 2568 - 04:51

  • ภัยโลกร้อนทำอาหารแพง บีบคนรายได้น้อยเลือกไม่ได้ เสี่ยงภาวะทุพโภชนาการ

  • เมื่อวิกฤตโลกร้อนบั่นทอนเงินในกระเป๋า ศาสตร์พระราชา “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ทางรอดท่ามกลางวิกฤตราคาอาหาร

โลกเดือดทำราคาอาหารพุ่ง คุณภาพชีวิตดิ่ง ชนชั้นกลางอ่วม

เชื่อหรือไม่? ไม่ใช่แค่ “เงินเฟ้อ” ที่ทำให้เราควักเงินจ่ายมากขึ้นเพื่อให้ได้ของที่เราเคยซื้อเท่าเดิม แต่ “โลกร้อน” ก็ทำให้เราต้องจ่ายแพงขึ้นไม่แพ้กัน

ปัจจุบันพบว่า “ราคาอาหารแพงขึ้น” กำลังเป็นปัญหาใหญ่อันดับสองที่กระทบชีวิตประจำวันมากที่สุด ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงไต่ระดับความรุนแรง เราไม่ได้เผชิญเพียงคลื่นความร้อน หรือน้ำท่วมเท่านั้น แต่จานอาหารตรงหน้าที่เราบริโภคในแต่ละวันก็กำลังกลายเป็นเหยื่อของวิกฤตโลกร้อนอย่างเงียบๆ

ข้อมูลล่าสุดจากงานวิจัยโดย Barcelona Supercomputing Center ร่วมกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) แสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในช่วงปี 2022–2024 ส่งผลโดยตรงต่อราคาสินค้าเกษตรทั่วโลก จากสหรัฐอเมริกาถึงออสเตรเลีย จากจีนถึงเกาหลีใต้ ราคาผัก น้ำมันพืช และอาหารหลักต่างปรับตัวขึ้นอย่างผิดปกติ โดยมีต้นตอมาจากภัยแล้ง คลื่นความร้อน น้ำท่วม และความไม่แน่นอนของฤดูกาลเพาะปลูก อันเป็นผลพวงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

sustainability-climate-crisis-hikes-food-prices-worsens-life-SPACEBAR-Photo01.jpg

ราคาผักที่สะท้อนอุณหภูมิของโลก

งานวิจัยระบุว่า

ผักกาดในออสเตรเลีย ราคาพุ่งขึ้นกว่า 300% หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ในภาคตะวันออก เมื่อปี 2022 ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภัยพิบัติที่มีต้นทุนทางเศรษฐกิจสูงที่สุดของประเทศ

ผักในสหรัฐฯ แพงขึ้นกว่า 80% จากภัยแล้งในแคลิฟอร์เนีย และวิกฤตน้ำในแม่น้ำโคโลราโด

ผักในจีน เพิ่มขึ้นกว่า 40% หลังจากคลื่นความร้อนที่ทำให้อุณหภูมิในบางพื้นที่แตะ 46°C

กะหล่ำปลีในเกาหลีใต้ พุ่งเกือบ 70% ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออาหารประจำชาติอย่างกิมจิ

นี่ไม่ใช่การขึ้นราคาตามฤดูกาล แต่คือสัญญาณเตือนระดับโลกว่าภูมิอากาศที่ไม่เสถียรกำลังทำให้การผลิตอาหารตกอยู่ใน “ความเสี่ยง” มากขึ้นทุกวัน

เงินเฟ้ออาหาร ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง

รายงานจากองค์กร Energy and Climate Intelligence Unit (ECIU) ชี้ว่าครัวเรือนในสหราชอาณาจักรจ่ายค่าอาหารเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 361 ปอนด์ (ประมาณ 18,000 บาท) ในช่วงปี 2022–2023 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากสภาพอากาศสุดขั้วที่กระทบต่อผลผลิตโดยตรง

แม้ว่าราคาบางส่วนอาจปรับตัวลงได้ในระยะสั้น จากการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรับมือกับราคาสูง แต่สินค้าบางชนิด เช่น กาแฟหรือเนื้อวัว ยังต้องพึ่งพาสภาพแวดล้อมเฉพาะถิ่น ทำให้ไม่สามารถขยายการผลิตได้ง่าย

“สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่ราคาที่แพงขึ้น แต่คือความไม่แน่นอนและความเปราะบางของระบบอาหารโลกในระยะยาว”

ดร.แม็กซิมิเลียน ค็อตซ์ หัวหน้าทีมวิจัยจาก Barcelona Supercomputing Center กล่าว

โลกร้อนกับความเสี่ยงด้านโภชนาการในกลุ่มเปราะบาง

อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบหนักต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางที่ไม่สามารถเข้าถึงอาหารหลากหลายได้ ทำให้ต้องลดคุณภาพหรือปริมาณอาหารที่บริโภค ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะทุพโภชนาการในระยะสั้น และโรคเรื้อรังในระยะยาว

งานวิจัยโดย CGIAR และองค์กรด้านโภชนาการหลายแห่ง พบว่าในประเทศรายได้น้อยถึงปานกลาง การเพิ่มขึ้นของราคาอาหาร 5% อาจทำให้จำนวนเด็กที่ประสบภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลัน เพิ่มขึ้นถึง 9% ขณะที่ภาวะขาดสารอาหารรุนแรง เพิ่มขึ้นได้ถึง 14% สถานการณ์นี้ยังเชื่อมโยงกับการเติบโตของเด็กที่ล่าช้า ภูมิคุ้มกันต่ำ และประสิทธิภาพการเรียนรู้ที่ลดลงในระยะยาว ดังนั้น การควบคุมโลกร้อนและออกนโยบายคุ้มครองความมั่นคงทางอาหาร จึงไม่ใช่เพียงเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือเรื่องของความอยู่รอดของมนุษย์ โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางของสังคม

sustainability-climate-crisis-hikes-food-prices-worsens-life-SPACEBAR-Photo02.jpg

“เศรษฐกิจพอเพียง” ทางรอดของครัวเรือน

ท่ามกลางวิกฤตนี้ หลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ตามแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 กลับมาได้รับความสนใจในฐานะ “ทางเลือกเชิงระบบ” ที่ไม่เพียงช่วยให้ครัวเรือนรับมือกับวิกฤตราคาอาหารได้ แต่ยังเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว

หลักสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่

ความพอประมาณ การลดพึ่งพาของนำเข้าหรือวัตถุดิบราคาแพงโดยไม่จำเป็น หันมาเน้นการผลิตและบริโภคในท้องถิ่น

ความมีเหตุผล การวางแผนการผลิตและบริโภคอย่างมีข้อมูล เช่น ปรับฤดูกาลเพาะปลูกตามสภาพภูมิอากาศใหม่ หรือเลือกพันธุ์พืชที่ทนแล้ง

การมีภูมิคุ้มกันที่ดี พัฒนาระบบสำรอง เช่น ธนาคารเมล็ดพันธุ์ในชุมชน หรือการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรในระดับครัวเรือน

ตัวอย่างที่เห็นได้จริง อาทิ ชุมชนเกษตรอินทรีย์หลายแห่งในประเทศไทยที่สามารถต้านทานความผันผวนของราคาตลาดโลกได้ เนื่องจากมีระบบแลกเปลี่ยนอาหารภายในหมู่บ้าน และพึ่งพาทรัพยากรในท้องถิ่นมากกว่าการนำเข้า หรือตัวอย่างเกษตรกรไทยที่ใช้ระบบเกษตรอินทรีย์ ปลูกพืชผสมผสาน ใช้น้ำน้อย หรือการทำนาเปียกสลับแห้ง เป็นต้น

การปรับตัวและลดการปล่อยคาร์บอน

ในระยะสั้น นักวิจัยแนะนำให้รัฐบาลพิจารณานโยบายบรรเทาผลกระทบ เช่น ระบบเตือนภัยล่วงหน้า การพัฒนาระบบชลประทาน หรือการกระจายความเสี่ยงในระบบเกษตรกรรม แต่ก็ยอมรับว่า แนวทางเหล่านี้มีขีดจำกัด

สิ่งที่จำเป็นในระยะยาว คือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง เพื่อจำกัดภาวะโลกร้อน และลดความถี่ของภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลต่อราคาสินค้าเกษตร

“ความมั่นคงทางอาหาร” ต้องเริ่มจากความเข้าใจสภาพอากาศ

อาหารที่แพงขึ้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของซัพพลายเชน หรือค่าขนส่ง หากแต่เป็นผลลัพธ์ของสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปในระดับโครงสร้าง ระบบอาหารทั่วโลกจำเป็นต้องปรับตัว เช่นเดียวกับผู้บริโภคที่ต้องเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่อยู่ในจานของตน เมื่อ “ค่าครองชีพ” กลายเป็นภาระรายวันของผู้บริโภคทั่วโลก การมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างอุณหภูมิที่สูงขึ้นหนึ่งองศา กับเงินที่หายไปจากกระเป๋าหลายร้อยบาท ไม่ใช่เรื่องเกินจริงอีกต่อไป

ในศตวรรษที่ 21 อาหารกลายเป็นเหยื่อของ “โลกร้อน” หลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” จึงไม่ใช่แค่แนวคิดเชิงจริยธรรม แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันทางอาหาร เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารที่แท้จริง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์