สถานการณ์น้ำท่วม ณ เวลานี้เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก ล่าสุดพื้นที่ทางตอนเหนือของจีนกำลังเผชิญกับสถานการณ์วิกฤต เมื่อฝนที่ตกลงมาในระยะเวลาเพียง 24 ชั่วโมง มีปริมาณเกือบเท่าฝนที่ตกตลอดทั้งปี ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะเมืองเป่าติง มณฑลเหอเป่ย ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมสำคัญใกล้กับกรุงปักกิ่ง
เขตตะวันตกของเมืองเป่าติงมีฝนตกสะสมถึง 447.4 มิลลิเมตร ภายในวันเดียว ใกล้เคียงกับปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปีของมณฑลเหอเป่ยในปี 2024 ซึ่งอยู่ที่ 640.3 มิลลิเมตร ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ถนนถูกตัดขาด ระบบไฟฟ้าเสียหาย และบ้านเรือนได้รับผลกระทบจำนวนมาก
— รายงานจากหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาของจีน
สถานการณ์นี้เป็นผลจากความแปรปรวนของสภาพอากาศซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยจีนตอนเหนือ ซึ่งเคยเป็นภูมิภาคแห้งแล้ง กลับเผชิญกับปริมาณฝนที่เพิ่มสูงขึ้นผิดปกติอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2020 นักวิทยาศาสตร์บางส่วนชี้ว่า ภาวะโลกร้อนอาจเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดฝนตกหนักและภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้งขึ้นในภูมิภาคที่ไม่เคยมีความเสี่ยงสูงมาก่อน
ไม่เพียงแต่เป่าติงเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ เมืองใกล้เคียงและกรุงปักกิ่งเองก็อยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมรับมือฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจีนประกาศยกระดับการเตือนภัย โดยเมืองเป่าติงเข้าสู่ระดับ สีแดง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดสำหรับสถานการณ์ฝนตกเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่ทางมณฑลเหอเป่ยเองได้ยกระดับแผนรับมือฉุกเฉิน เพื่อเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ที่อาจลุกลาม

นักวิเคราะห์ด้านสิ่งแวดล้อมระบุว่า สถานการณ์ในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่สะท้อนว่าโครงสร้างพื้นฐานและระบบการจัดการทรัพยากรน้ำของจีนยังคงเผชิญความท้าทายอย่างหนักเมื่อเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้ว
จีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อการผลิต ระบบขนส่ง และความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นประเด็นหลักของโลก
สถานการณ์ในเป่าติงจึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เฉพาะพื้นที่ หากแต่สะท้อนถึงความเร่งด่วนในการยกระดับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และการวางแผนเมืองที่ยั่งยืน เพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่แน่นอนในอนาคต

“น่าน” ระดับฝนหนักสุดรอบ 1,000 ปี
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระบุว่าสถานการณ์ฝนตกหนักจากพายุวิภา (WIPHA) ที่ส่งผลให้หลายพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะ จ.น่าน และ จ.แพร่ เผชิญน้ำท่วมรุนแรงกว่าทุกปี
ข้อมูลจากกรมชลประทาน พบว่าปริมาณฝนตกระหว่าง 23-24 ก.ค.ที่ผ่านมา ในหลายพื้นที่มีมากกว่า 300 มม. และในหลายพื้นที่มีปริมาณฝนสะสม 2 วัน มากกว่า 400 มม. โดยเฉพาะที่ อ.ปัว มีปริมาณฝนสูงถึง 427 มม. ซึ่งเป็นฝนในรอบกว่า 1,000 ปี จึงทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงมาก โดยที่ชาวบ้านไม่เคยพบเจอในชีวิต ระดับน้ำท่วมที่ จ.น่าน และ จ.แพร่ จึงสูงกว่าในปีที่ผ่านมา และสูงกว่าในปี 2554
“ในเขตเทศบาลเมืองน่านปัจจุบันมีบ้านอาคารเรือนเสียหายไม่ต่ำ 5,000 หลัง โดยเบื้องต้นได้ประเมินความเสียหายคาดว่าไม่ต่ำ 1,000 ล้านบาท”
— สุรพล เธียรสูตร นายกเทศมนตรีเมืองน่าน ระบุ
8 จังหวัดเผชิญน้ำท่วม ประชาการกว่าแสนคนอพยพ
นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและดินโคลนถล่มจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ที่ส่งผลกระทบตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ระบุว่าถึงแม้ว่าปัจจุบันได้อ่อนกำลังเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำแล้ว แต่อิทธิผลของพายุที่ผ่านมาได้ส่งผลให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่ง ปัจจุบันพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดน่าน เชียงราย พะเยา ลำปาง เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ และเลย รวมแล้วมี 50 อำเภอ 246 ตำบล 1,348 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 33,900 ครัวเรือน 115,858 คน (สถิติ ณ วันที่ 26 กรกฎาคม) ด้านภาพรวมสถานการณ์น้ำในทุกจังหวัดลดลง
สำหรับสถานการณ์ร่องฝนล่าสุด วันที่ 27-28 กรกฎาคมนี้ ประเทศไทยยังต้องเฝ้าระวังฝนตกหนัก น้ำล้นตลิ่ง น้ำท่วมชุมขน น้ำรอการระบายพื้นที่เดิมใน
ภาคเหนือ : น่าน พะเยา เชียงราย แพร่ อุตรดิตถ์ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน ตาก สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : เลย หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี หนองบัวลำภู นครพนม สกลนคร ขอนแก่น ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ
วิกฤตน้ำท่วมและบทเรียนด้านการปรับตัวต่อภูมิอากาศ
สถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในประเทศจีนและประเทศไทยในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ถือเป็นสัญญาณเตือนทางสิ่งแวดล้อมที่ไม่อาจมองข้าม ภาวะฝนตกหนักผิดปกติที่เกิดในพื้นที่ซึ่งไม่เคยเป็นจุดเสี่ยงหลักของน้ำท่วมมาก่อน สะท้อนถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศท้องถิ่นอย่างรวดเร็ว และส่งผลให้เกิดภัยพิบัติที่มีความถี่และความรุนแรงสูงขึ้น จนเกินขีดความสามารถในการรับมือของโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม
ภายใต้กรอบแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการยกระดับแนวทางการจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงแค่การวางแผนรับมือในเชิงวิศวกรรมเท่านั้น แต่รวมถึงการบูรณาการนโยบายด้านการผังเมือง การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการมีส่วนร่วมของชุมชนในกระบวนการจัดการภัยพิบัติ การพัฒนาเมืองที่ยืดหยุ่น (Resilient Cities) และระบบนิเวศฟื้นตัวได้ (Ecosystem-based Adaptation) จึงเป็นแนวทางที่ต้องเร่งพัฒนาอย่างจริงจัง
ท้ายที่สุด การปรับตัวต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไม่อาจอาศัยมาตรการเฉพาะหน้า แต่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในระยะยาว ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศต้องถูกยกระดับเป็นประเด็นหลักในทุกระดับของการกำหนดนโยบาย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความปลอดภัยของประชาชน หากยังคงเพิกเฉยต่อบทเรียนจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โอกาสในการสร้างความยั่งยืนในอนาคตย่อมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ