ในช่วงเวลาที่โลกเต็มไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศอย่าง สหรัฐฯ-อิหร่าน หรือสถานการณ์ระอุในตะวันออกกลาง รวมถึงความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างไทย-กัมพูชา และความผันผวนในทางการเมืองไทยเอง ข่าวสารที่ไหลบ่าทุกวันผ่านหน้าจออาจกลายเป็นชนวนของภาวะ “ความเครียดจากการเมือง” หรือ Political Stress Syndrome (PSS) ซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่ต้องจับตาอย่างจริงจัง
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ออกมาเตือนประชาชนให้ตระหนักถึงผลกระทบทางใจจากการรับข่าวสารรอบด้าน พร้อมเสนอแนวทางดูแลสุขภาพจิต เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับกระแสข่าวที่ร้อนแรงได้อย่างมีสติ และไม่ปล่อยให้ความเครียดกัดกินใจโดยไม่รู้ตัว

รู้จักภาวะ PSS เมื่อข่าวสารกลายเป็นความเครียดสะสม
นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ระบุว่าภาวะ “ความเครียดจากการเมือง” หรือ PSS อาจเกิดได้กับผู้ที่ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด หรือมีความรู้สึกเอนเอียงทางความคิดต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเมื่อเสพข่าวที่ขัดแย้งหรือรุนแรงต่อเนื่อง ก็จะสะสมความเครียดโดยไม่รู้ตัวจนเกิดอาการทั้งทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม
โดยมีสัญญาณที่สังเกตได้ ดังนี้
- ทางร่างกาย ปวดตึงที่ศีรษะหรือต้นคอ หายใจไม่อิ่ม ใจสั่น นอนไม่หลับ หรือรู้สึกแน่นท้อง
- ทางจิตใจ หงุดหงิดง่าย ฟุ้งซ่าน โกรธเกรี้ยว หรือหมกมุ่นกับข้อมูลข่าวสารมากเกินไป
- ทางพฤติกรรม แสดงออกทางอารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผล เช่น โต้เถียงกันในครอบครัว ใช้ถ้อยคำรุนแรงในสื่อสังคมออนไลน์ หรือแสดงความเห็นในลักษณะเกลียดชัง
แม้ PSS จะไม่ใช่โรคจิตเวชโดยตรง แต่หากไม่รู้เท่าทันและปล่อยให้ความเครียดสะสม อาจลุกลามกลายเป็นภาวะซึมเศร้าหรือส่งผลต่อความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวันได้
เมื่อข่าวสารกลายเป็นดาบสองคม
โลกยุคดิจิทัลทำให้การรับข้อมูลข่าวสารกลายเป็นเรื่องง่าย แต่ในเวลาเดียวกัน หากการสื่อสารเต็มไปด้วยอารมณ์หรือความเกลียดชัง ก็อาจกระทบทั้งผู้พูด ผู้ฟัง และบรรยากาศของสังคมโดยรวม อาจก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างกับบุคคล 3 กลุ่ม ได้แก่
1) ผู้พูดหรือผู้ส่งสาร หากใช้อารมณ์มากกว่าสติ อาจใช้ถ้อยคำหมิ่นประมาทหรือยั่วยุโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ความขัดแย้งลุกลาม
2) ผู้ฟังหรือผู้รับสาร หากได้รับข้อมูลที่รุนแรงอาจรู้สึกไม่พอใจ เครียด หรือวิตกกังวลจนกระทบสุขภาพจิต
3) ผู้คนในสังคม หากการสื่อสารในวงกว้างขาดความระมัดระวังและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ก็อาจทำให้เกิดบรรยากาศของความตึงเครียดและรู้สึกว่าสังคมไม่น่าอยู่
ถ้อยคำรุนแรงหรือการแสดงความคิดเห็นโดยปราศจากความระมัดระวัง อาจกระตุ้นความขัดแย้งโดยไม่ตั้งใจ และสร้างบรรยากาศของความไม่ไว้วางใจ ซึ่งยิ่งทำให้สังคมตึงเครียดขึ้นไปอีก โดยเฉพาะในช่วงที่ประเด็นเกี่ยวกับสงคราม หรือสถานการณ์การเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความอ่อนไหวมากเป็นพิเศษ
— นายแพทย์กิตติศักดิ์ กล่าวเตือน
นอกจากนี้ กรมสุขภาพจิตยังเตือนภัย “ภาวะแบ่งขั้วทางความคิด” จากความเห็นต่างทางการเมือง ที่อาจกระทบความสัมพันธ์ในครอบครัว และก่อให้เกิดความเครียดเรื้อรัง วิตกกังวล หรือซึมเศร้า แนะสร้าง “พื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์” เปิดใจรับฟังกันอย่างไม่ตัดสิน ใช้การสื่อสารอย่างสันติ และจัดเวลา “พักจากการเมือง” ด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกัน
5 วิธีดูแลใจในยุคข่าวสารความตึงเครียดล้นจอจากกรมสุขภาพจิต
เพื่อป้องกันไม่ให้ความเครียดจากสถานการณ์ต่างๆ กลายเป็นภาระทางใจที่ยากต่อการเยียวยา กรมสุขภาพจิตแนะนำ 5 แนวทางดูแลสุขภาพจิตที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันที
- รู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง ขณะเสพข่าว คอยสังเกตว่าข่าวนั้นกระทบใจเรามากน้อยแค่ไหน และพยายามตั้งสติ
- จำกัดเวลาในการติดตามข่าวสาร โดยเฉพาะในช่วงเวลาพักผ่อน เช่น ก่อนนอน หรือระหว่างรับประทานอาหาร
- ดำรงชีวิตอย่างสมดุล ให้ความสำคัญกับหน้าที่หลักในชีวิต เช่น การเรียน การทำงาน และครอบครัว
- เคารพความเห็นที่หลากหลาย ไม่ด่วนตัดสินหรือดูหมิ่นความเห็นที่แตกต่าง เปิดใจรับฟังอย่างมีเหตุผล
- ให้เวลากับการพักผ่อนและผ่อนคลาย เช่น การนอนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ทำสมาธิ หรือฝึกหายใจลึก ๆ
หากพบว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการเครียดที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต โดยสามารถติดต่อสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ความเข้าใจคือจุดเริ่มต้นของความสงบ
แม้สถานการณ์ในโลกและในประเทศจะยังคงเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและแรงเสียดทาน แต่หากเราทุกคนเริ่มต้นจากการรับข่าวสารอย่างมีสติ ใช้เหตุผลควบคู่กับความเคารพในความแตกต่าง ก็อาจช่วยให้สังคมไทยสามารถเดินผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้ด้วยความเข้าใจ และไม่ปล่อยให้ความเครียดกลายเป็นระเบิดเวลาทางใจที่รอวันปะทุ
เพราะสุขภาพจิตที่ดี ไม่ได้เริ่มต้นจากการหลีกเลี่ยงข่าว แต่เริ่มจากการเลือกเสพอย่างมีสติและรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจตนเอง