เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า ประชาชนประมาณ 260 ล้านคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือประมาณ 1 ใน 7 มีภาวะสุขภาพจิต และหลายคนไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที
ดร.แอนเดรีย บรูนี ที่ปรึกษาระดับภูมิภาคด้านสุขภาพจิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ WHO บอกกับ CNA ว่า “ภาวะสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่แพร่หลายอย่างมากในภูมิภาคนี้ ขณะที่ช่องว่างการรักษาก็มีมากด้วยเช่นกัน…ในบางประเทศ ช่องว่างการรักษาสูงถึง 90% ซึ่งหมายความว่ามากกว่า 90% ของผู้ป่วยด้านสุขภาพจิตไม่ได้รับการรักษาและการดูแลที่เหมาะสมทันเวลา หรือไม่ได้รับการรักษาเลย”
ปัญหาด้านสุขภาพจิตยังคงแพร่หลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้…
ดร.บรูนีเสริมว่า “บ่อยครั้งที่ตราบาปแปรเปลี่ยนเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่ทุกข์ทรมานจากอาการเหล่านี้ และการตีตราก็ปรากฏชัดเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีภาวะสุขภาพจิตขั้นรุนแรง…ความเชื่อผิดๆ ที่แพร่หลายในภูมิภาคนี้คือ บุคคลที่มีอาการดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการรักษา การดูแล และการสนับสนุนในสถาบันสุขภาพจิต โรงพยาบาลจิตเวช และสถานพยาบาล”
“แต่ความจริงมันแตกต่างออกไป นั่นก็คือ ผู้ที่มีภาวะสุขภาพจิตจำเป็นต้องเข้าถึงบริการที่มีอยู่ในชุมชน ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายกว่าและเคารพสิทธิมนุษยชนของประชาชนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ…สิ่งต่างๆ กำลังเปลี่ยนแปลงผ่านการมีส่วนร่วมและการเสริมพลังของผู้ที่มีประสบการณ์และผู้ดูแล (ซึ่ง) ควรเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการออกแบบนโยบายและบริการด้านสุขภาพจิต” ดร.บรูนีกล่าว
สุขภาพจิตที่ดีเป็นสิทธิสากล
ดร.บรูนีเผยอีกว่า “สุขภาพจิตที่ดีมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดีโดยทั่วไปของเรา และทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับมาตรฐานด้านสุขภาพจิตที่สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…น่าเสียดายที่ผู้คนที่มีภาวะสุขภาพจิตทั่วโลกและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังคงเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในวงกว้าง และผู้คนจำนวนมากถูกกีดกันจากชุมชนและสังคม”
“การมีภาวะสุขภาพจิตไม่ควรเป็นเหตุให้บุคคลถูกลิดรอนสิทธิมนุษยชน และกีดกันพวกเขาออกจากการมีส่วนร่วมในสังคม” ดร.บรูนีกล่าว
ตามข้อมูลของหน่วยงานด้านสุขภาพแห่งสหประชาชาติระบุว่า “ในปี 2019 ผู้คนเกือบพันล้านคนหรือประมาณ 1 ใน 8 ทั่วโลกใช้ชีวิตอยู่กับภาวะสุขภาพจิต” ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าตัวเลขดังกล่าวสูงขึ้นมากท่ามกลางแรงกดดันระดับโลก เช่น การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังดำเนินอยู่
ทั้งนี้ ดร.บรูนีแนะนำว่า “ควรส่งเสริมเครือข่ายการดูแลสุขภาพในชุมชนให้มากขึ้น”
อย่างไรก็ดี ตามการระบุของ WHO พบว่า “ความผิดปกติทางจิตยังคงเป็นสาเหตุสำคัญ 10 อันดับแรกของภาระโรคทั่วโลกในรอบกว่าทศวรรษ โดยภาวะที่พบบ่อยที่สุด 2 ประการคือ โรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล” ซึ่งผู้สังเกตการณ์เน้นย้ำว่าความผิดปกติดังกล่าวกำลังมีความสำคัญในหมู่คนหนุ่มสาว
ข้อมูลของ WHO ยังบอกอีกว่า “ในแต่ละปีมีคนประมาณ 200,000 คนในภูมิภาคนี้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย”ขณะที่ ดร.บรูนียังกล่าวอีกว่า “การฆ่าตัวตายถือเป็นความท้าทายร้ายแรงด้านสาธารณสุข และยังเป็นข้อกังวลเร่งด่วนที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกำลังมองหาวิธีแก้ไข…เรารู้ว่าการฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในหมู่คนหนุ่มสาวในหลายประเทศ และมีความจำเป็นที่เราต้องจัดการกับวิธีการฆ่าตัวตายด้วย”
“และในภูมิภาคนี้ เรารู้ว่าวิธีการ (ที่ใช้กันทั่วไป) มากที่สุดคือ ‘ยาฆ่าแมลง’ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องควบคุม จำกัด และห้ามการเข้าถึงยาฆ่าแมลง”
ดร.บรูนีเตือนว่า “นี่เป็นความท้าทายด้านสาธารณสุขที่ร้ายแรง เราต้องดำเนินการแก้ไขเพราะเรารู้ว่าการฆ่าตัวตายป้องกันได้ แต่การป้องกันไม่ใช่เรื่องง่าย”