ความเคลื่อนไหวด้านนโยบายแรงงานกลายเป็นประเด็นร้อนในแวดวงธุรกิจ หลังจากเมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ...) ทั้ง 2 ฉบับ ที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีสาระสำคัญในการปรับลดชั่วโมงการทำงานจาก 48 เหลือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ พร้อมเพิ่มสิทธิวันหยุดและการลาให้แรงงานมากขึ้น
ร่างกฎหมายดังกล่าวจุดกระแสความกังวลในภาคเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มองว่าอาจเป็นภาระต้นทุนใหม่ในช่วงเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากร่างกฎหมายผ่านการรับหลักการ หอการค้าได้รับข้อร้องเรียนจากสมาชิกทั่วประเทศ ทั้งหอการค้าจังหวัด 5 ภูมิภาค หอการค้าต่างประเทศ และสมาคมการค้ามากกว่า 20 สมาคม ที่ไม่เห็นด้วยและขอให้คัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าว
“หอการค้าฯ และ กกร. (คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน) ได้ทำหนังสือคัดค้านไปยังประธานรัฐสภา รัฐมนตรีแรงงาน และคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เพราะเห็นว่ากฎหมายนี้จะเพิ่มภาระต้นทุนให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่กำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจนำไปสู่การปิดกิจการหรือเลิกจ้างแรงงาน”
— ดร.พจน์ กล่าว
ทั้งนี้ ภาคเอกชนเห็นด้วยกับการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานตามหลักองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) แต่ย้ำว่าการปรับลดเวลาทำงานและเพิ่มสิทธิแรงงาน ควรมีการประเมินผลกระทบเชิงปริมาณก่อนดำเนินการจริง เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาแรงงานคนเป็นหลัก และหลายอุตสาหกรรมยังไม่พร้อมต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอัตโนมัติ
สภาหอการค้าฯ ชี้ การคุ้มครองแรงงาน ต้องรับฟังความเห็นนายจ้างอย่างรอบด้าน
ดร.พจน์ ระบุเพิ่มเติมว่า การจัดทำร่างกฎหมายแรงงานควรยึดหลักตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ที่กำหนดให้ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ซึ่งกรณีนี้ยังขาดการรับฟังจากฝ่ายนายจ้างและภาคเอกชนอย่างเพียงพอ
“สภาหอการค้าฯ ขอให้ภาครัฐพิจารณาทบทวนร่างกฎหมายใหม่ให้เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจและการแข่งขันในระดับโลก เพื่อให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยไม่กระทบต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจของนายจ้าง”
— ประธานหอการค้าฯ กล่าวทิ้งท้าย



