หมอกควันข้ามพรมแดน ปัญหาใหญ่ไม่มีเส้นแบ่ง
ในทุกๆ ปีเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ง ภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ตั้งแต่ภาคเหนือของไทย พรมแดนเมียนมา และลาว มักเผชิญกับวิกฤตมลพิษทางอากาศ (PM 2.5) จากไฟป่าและการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ต้นตอสำคัญของหมอกควันข้ามพรมแดน ปัญหานี้ไม่เพียงกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แต่ยังโยงไปถึงขีดความสามารถทางการค้า มาตรฐานความยั่งยืน ภาพลักษณ์สินค้าเกษตร และความเชื่อมั่นของตลาดโลก
วันนี้ความท้าทายข้างต้นกำลังเปลี่ยนไป เมื่อภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร จับมือเดินหน้าโมเดล “ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเมียนมา” (Myanmar Corn Traceability System) ที่ริเริ่มโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และพันธมิตร เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานโปร่งใสและยั่งยืน นำไปสู่เป้าหมาย “อาเซียนปลอดฝุ่น” อย่างเป็นรูปธรรม

1 ปีแห่งความร่วมมือยกระดับเกษตรยั่งยืนในเมียนมา
ล่าสุด ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงย่างกุ้ง เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) และสมาคมผู้ประกอบการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมียนมา (MCIA) ร่วมประกาศความสำเร็จของ ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเมียนมา ในโอกาสครบรอบการดำเนินการ 1 ปี พร้อมเดินหน้าสู่หมุดหมายสำคัญก่อน “มาตรการข้าวโพดปลอดการเผา” ของไทยจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2569

นายมงคล วิศิษฏ์สตัมภ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นต้นแบบเชิงนโยบายที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฟ้าใสของไทยสู่ภาคปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้ระบบ Traceability ที่พัฒนาร่วมกันระหว่างภาครัฐเมียนมา สมาคม MCIA และเครือซีพี ภายใต้เทคโนโลยีดาวเทียมขั้นสูง และ QR Code ตรวจสอบย้อนกลับ โดยมีการรับรองจาก Control Union เพื่อยืนยันว่าข้าวโพดทุกเมล็ดไม่บุกรุกป่า ไม่เผาแปลง และสามารถตรวจสอบได้แบบ Real-time
ภายในงานมีหน่วยงานสำคัญจากหลายประเทศเข้าร่วม ทั้งกระทรวงพาณิชย์จากประเทศไทย สำนักงานประยุกต์และพัฒนาภูมิสารสนเทศ (GISTDA) สมาคมผู้ประกอบการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมียนมา (MCIA) Control Union ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจประเมินระดับโลกจากเนเธอแลนด์ พร้อมด้วยตัวแทนจากประเทศลาว โดยมีการมอบใบรับรองผลระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเมียนมา ให้แก่ Myanmar Corn Industrial Association (MCIA), CPP Fertilizer Co., Ltd. ผู้ประกอบการเมล็ดพันธ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเมียนมา, Bangkok Produce Merchandising PCL (BKP) ผู้จัดการวัตถุดิบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเมียนมา และ Myanmar C.P. Livestock Co., Ltd. ผู้ประกอบการโรงงานอาหารสัตว์ในเมียนมา ซึ่งถือเป็นการรับรองผลระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเมียนมาตลอดห่วงโซ่อุปทาน
ยุทธศาสตร์ฟ้าใส CLEAR Sky
เพื่อยุติมลพิษข้ามพรมแดน รัฐบาลไทยกำลังเดินหน้ายุทธศาสตร์ “CLEAR Sky Strategy” โดยกำหนดแผนปฏิบัติการฟ้าใส 2567–2573 รับมือกับไฟป่าและ PM2.5 อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างไทย-ลาว-เมียนมา ผ่าน 5 เสาหลัก ได้แก่
- C – Continued Commitment ลดจุดความร้อนอย่างต่อเนื่อง
- L – Leveraging Mechanisms ใช้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศ
- E – Experience Sharing แลกเปลี่ยนข้อมูลและกฎหมายสิ่งแวดล้อม
- A – Air Quality Network เชื่อมโยงเครือข่ายคุณภาพอากาศภูมิภาค
- R – Effective Response กลไกตอบสนองปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
1 ม.ค. 2569 จุดเปลี่ยน “ข้าวโพดปลอดการเผา” รัฐเอาจริง
นับถอยหลังสู่มาตรการห้ามเผาและระเบียบใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป สำหรับสินค้านำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากต่างประเทศต้องแสดงหลักฐานว่า “ปลอดการเผา” เท่านั้นจึงจะสามารถนำเข้าได้

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า มาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผาของไทย แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก ช่วงปรับตัว (เริ่ม 1 ม.ค. 2569) ผู้นำเข้าต้องขึ้นทะเบียนรายปีกับกรมการค้าต่างประเทศ พร้อมยื่นเอกสารรับรองว่าข้าวโพดนำเข้าไม่เกี่ยวข้องกับการเผา ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งหนังสือรับรองตนเอง (Self-Declaration) หรือเอกสารจากหน่วยงานรับรองในประเทศต้นทาง (CA/CB/VVB) โดยต้องมีข้อมูลพิกัดพื้นที่เพาะปลูก ช่วงเวลาเพาะปลูก–เก็บเกี่ยว และรายละเอียดของผู้ส่งออก เพื่อรองรับการตรวจสอบย้อนหลัง
ส่วนระยะที่สอง การบังคับเต็มรูปแบบ หลังกฎหมายอากาศสะอาดมีผลบังคับ โดยการนำเข้าจะเข้มงวดขึ้น ต้องแสดงเอกสารครบ 3 อย่าง คือหนังสือรับรองจากหน่วยงานประเทศต้นทาง เอกสารข้อมูลนำเข้า แผนที่แสดงพื้นที่เพาะปลูกรวมถึงต้องระบุพิกัดแปลงปลูก และมาตรฐานที่ใช้ในการรับรองอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ผู้นำเข้าต้องเก็บรักษาข้อมูลไม่น้อยกว่า 5 ปี เพื่อรองรับการตรวจสอบย้อนกลับ (Post Audit) และมาตรการได้กำหนดให้มีบทลงโทษหากพบว่ามีการแจ้งข้อมูลที่ไม่เป็นจริง
“ความพร้อมของประเทศผู้ส่งออกจะเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้มาตรการนี้ประสบความสำเร็จ ต้องชื่นชมภาคเอกชนไทยที่แสดงบทบาทเชิงรุกในการสนับสนุนนโยบายรัฐ และริเริ่มพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การพัฒนาระบบนี้ไม่เพียงสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แต่ยังเป็นการยกระดับห่วงโซ่อุปทาน และเป็นต้นแบบของการพัฒนาการทำเกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนมาตรฐานการค้าสินค้าเกษตรของภูมิภาค”
— อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าว

ทำไมต้องเมียนมา?
นายเอกวัฒน์ ธนประสิทธิ์พัฒนา อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายพาณิชย์ เผยว่า เมียนมาเป็นจุดยุทธศาสตร์ของซัพพลายเชนข้าวโพดไทย โดยประเทศไทยนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเมียนมามากถึง 1.23 ล้านตันต่อปี มูลค่าราว 12,000 ล้านบาท คิดเป็น 86–88% ของปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นำเข้าทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงที่มีการยกเว้นภาษี (1 ก.พ.–31 ส.ค.) เมียนมาจึงถือเป็น “คู่ค้ายุทธศาสตร์” ที่ไทยให้ความสำคัญ การใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับถือเป็นการสร้างมาตรฐานการค้าให้สอดคล้องกับทิศทางโลกที่เน้นเรื่องความยั่งยืนและแหล่งที่มาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการจัดการมลพิษข้ามพรมแดนแบบได้ผลจริง
Traceability System “ไม่ป่า-ไม่เผา”
นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหาร ผู้บริหารสูงสุดด้านความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เผยว่าโครงการ Traceability System ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นระบบตรวจสอบย้อนกลับวัตถุดิบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่มุ่งสร้างห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใส ยั่งยืน และรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง โดยใช้เทคโนโลยีดาวเทียมเพื่อตรวจสอบว่าแหล่งปลูกไม่ได้มาจากพื้นที่บุกรุกป่า หรือมีการเผาแปลง ที่เป็นต้นเหตุของ PM2.5 ซึ่งระบบนี้เริ่มต้นในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2559 พร้อมขยายไปยังเมียนมา และกำลังเริ่มดำเนินการที่ประเทศลาวในปัจจุบัน

ผู้บริหารสูงสุดด้านความยั่งยืนของเครือฯ ย้ำว่า การขยายสู่ประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารของเครือฯ ที่มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย “ไม่รับซื้อ-ไม่นำเข้าข้าวโพดจากพื้นที่บุกรุกป่าหรือมีการเผา” ถือเป็นพันธสัญญาเชิงปฏิบัติ ไม่ใช่แค่หลักการ โครงการนี้คือผลลัพธ์ของความเชื่อมั่นและความร่วมมือระหว่างภาคี 3 ฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการหยุดการเผาและผลักดันสู่ห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน ตามนโยบาย Zero Burn – Zero Deforestation และสอดคล้องกับกลยุทธ์ “HEART–HEALTH–HOME” ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใส การปกป้องสุขภาพของคนและโลก รวมถึงการสร้างความยั่งยืนตลอด Supply Chain
Third Party Verification เสริมความเชื่อมั่น
Mr.Stephan Moreels กรรมการผู้จัดการ Control Union ประเทศไทย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการตรวจประเมินจากเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า ความต้องการอาหารสัตว์ที่ปลอดภัยและยั่งยืนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ซึ่งระบบตรวจสอบย้อนกลับคือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้สามารถติดตามข้าวโพดได้ตั้งแต่ฟาร์ม โรงงานอาหารสัตว์ ผู้ใช้ปลายทาง รองรับกฎระเบียบของโลกและความคาดหวังของตลาดครอบคลุมทั้งด้านความยั่งยืน (Sustainability) ความปลอดภัยด้านอาหาร (Food Safety) และแหล่งที่มาไร้การตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงการตอบสนองความต้องการผู้ซื้อที่เรียกร้องความโปร่งใสตลอดวงจรธุรกิจ

ห่วงโซ่อาหารปลอดฝุ่น
ฐิติ ลุจินตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า นี่คือโมเดลที่พิสูจน์แล้วว่าความร่วมมือ เทคโนโลยี และความมุ่งมั่น สามารถเปลี่ยนโจทย์ “หมอกควันข้ามพรมแดน” ให้กลายเป็น “ห่วงโซ่อาหารที่ยั่งยืน” ได้จริง เราพร้อมเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมใหม่เพื่อเพิ่มฐานข้อมูลระบบตรวจสอบย้อนกลับ ด้วยองค์ความรู้และแรงจูงใจสู่การทำเกษตรที่ยั่งยืน พร้อมบูรณาการกับหน่วยงานรัฐบาลเมียนมา ตอบรับนโยบายใหม่ของกระทรวงพาณิชย์ไทย ที่จะเริ่มบังคับใช้การนำเข้าข้าวโพดปลอดการเผาในปี 2569 รวมถึงสนับสนุน พ.ร.บ.อากาศสะอาด และกฎหมายลูกในอนาคต ทั้งหมดนี้คือความสมัครใจที่สอดคล้องกับค่านิยม 3 ประโยชน์ของเครือซีพี ที่คำนึงถึงประโยชน์ต่อสังคมในทุกประเทศที่เข้าไปลงทุน
ทั้งนี้ เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และเกษตรกร ขณะที่ CP พัฒนาเทคโนโลยีและระบบจัดการข้อมูล ณ ปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้งานระบบตรวจสอบย้อนกลับที่เป็นสมาชิกของ MCIA แล้ว 59% ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 947,325 เอเคอร์ (92% ของพื้นที่เพาะปลูก) มีปริมาณข้าวโพดที่ส่งออกภายใต้ระบบ (ณ วันที่ 15 ส.ค.) = 294,870.95 ตัน คิดเป็น 38% ของการส่งออกทั้งหมด

“หลังจากที่นำระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใช้ในเมียนมาครบ 1 ปี พบว่าจุดความร้อนในพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเมียนมาลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง ซึ่งนอกจากปัจจัยจากลานีญา และเหตุการณ์ความไม่สงบบางพื้นที่ การมีระบบตรวจสอบย้อนกลับที่ได้มาตรฐานสากลซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากภาครัฐทั้งไทยและเมียนมา และได้รับการทวนสอบจากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ยังเป็นเครื่องมือสำคัญเชิงวิทยาศาสตร์ที่ทั่วโลกยอมรับ และเป็นกลไกที่พร้อมผลักดันยุทธศาสตร์ฟ้าใสของรัฐบาลไทย ในการแก้ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม”
— นายวรสิทธิ์ สิทธิวิชัย ประธานคณะผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจพืชครบวงจร เขตเมียนมา กล่าว
“แม้เมียนมาจะผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้มากถึง 2.5 ล้านตันต่อปี แต่ทุกเมล็ดที่เครือเจริญโภคภัณฑ์รับซื้อกว่า 10% ของผลผลิตในประเทศ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ 100% ว่าไม่เผา-ไม่บุกรุกป่า นี่คือโมเดลความร่วมมือไทย–เมียนมา ในการแก้ปัญหาหมอกควันอย่างยั่งยืน”
— วรพจน์ สุรัตวิศิษฏ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด กล่าวเสริม

MCIA ขับเคลื่อนระบบตรวจสอบย้อนกลับในเมียนมา
ด้านนายอู เอ ชาน อ่อง ประธานสมาคมผู้ประกอบการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมียนมา เปิดเผยว่า MCIA มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้สมาชิกพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับ โดยร่วมมือกับเครือซีพีจากไทยและผู้เชี่ยวชาญระดับโลก พัฒนาเทคโนโลยี และระบบตรวจจับจุดความร้อนจากดาวเทียม เพื่อยืนยันว่าแหล่งปลูกข้าวโพดปลอดจากการเผาและไม่บุกรุกป่า ทำให้เกษตรกรมีแรงจูงใจเลิกเผาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกษตรกรของเมียนมา

เทคโนโลยีดาวเทียมหลักฐานเชิงประจักษ์
ดร.ปกรณ์ เพ็ชรประยูร ผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และพัฒนาภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA กล่าวถึงระบบติดตามพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม ในการตรวจจับจุดความร้อน (Hotspot) เพื่อป้องกันปัญหาไฟป่าและมลพิษข้ามพรมแดน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงช่วยติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ แต่ยังต่อยอดสู่การพัฒนาแพลตฟอร์มแจ้งเตือนคุณภาพอากาศระดับภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในอาเซียน โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างท้องฟ้าอากาศสะอาดปลอดฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน
“ข้อมูลจากดาวเทียมคือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันว่าเกิดไฟที่ไหน เมื่อไหร่ และเกิดจากอะไร เรากำลังเชื่อมข้อมูลเหล่านี้เข้ากับระบบการค้าและการรับรอง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งระบบ”
— ดร.ปกรณ์ เพ็ชรประยูร ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าว

พลิกวิกฤตเป็นโอกาส เพิ่มความสามารถด้านการแข่งขัน
จากปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน สู่ยุทธศาสตร์ “CLEAR Sky” มาตรการ “ข้าวโพดปลอดการเผา” และ “ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในเมียนมา” ทั้งหมดไม่ใช่แค่เครื่องมือด้านสิ่งแวดล้อม แต่จะเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของภูมิภาคที่สอดรับกระแสเศรษฐกิจสีเขียวในตลาดโลก
วันนี้การที่ทุกเมล็ดข้าวโพดสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้อย่างโปร่งใส จึงเป็นจุดแข็งเชิงยุทธศาสตร์ของไทยและเมียนมาในการรักษาตลาดเดิม และขยายตลาดใหม่ พร้อมสร้างภาพลักษณ์ห่วงโซ่คุณค่าที่ “ปลอดฝุ่น ปลอดเผา และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” อันเป็นรากฐานใหม่บนความยั่งยืนของภูมิภาคอาเซียนในอนาคต
นี่คือตัวอย่างความร่วมมือที่แสดงถึงพลังการเปลี่ยนแปลง และเป็นต้นแบบของการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการทำเกษตรยั่งยืนในระดับภูมิภาคที่เกิดขึ้นจริงและพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน



