นักวิเคราะห์แนะลงทุนเชิงกลยุทธ์ เน้นหุ้น 3 ธีมหลักช่วงครึ่งปีหลัง
กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ในช่วงนี้เริ่มเผชิญแรงขายหลังจากปรับขึ้นมาระดับ 30–40% ในหุ้นบางกลุ่ม ส่งผลให้การปรับขึ้นระยะสั้นจะเริ่มยากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณแนวต้านสำคัญที่ 1,210–1,230 จุด ซึ่งตลาดอาจต้องใช้ “พลังงาน” มากขึ้นในการข้ามผ่านแนวต้านดังกล่าว
“SET ขึ้นมารวดเร็วในช่วงแรก แต่ช่วงนี้น่าจะเป็นโซนที่เริ่มสะสมแรงขายจากนักลงทุนบางส่วนที่ต้องการทำกำไร ขณะเดียวกัน ผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนก็จะเป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งหากไม่มีการปรับขึ้นของประมาณการกำไรตลาด ภาพโดยรวมก็จะยากขึ้น” กิจพณกล่าว
EPS SET ยังถูกปรับลดต่อเนื่อง – นักลงทุนควรวางกลยุทธ์แบบ “คอนเซอร์เวทีฟ”
ข้อมูลล่าสุดสะท้อนว่าประมาณการกำไรของตลาดหุ้นไทย (EPS) ได้ถูกปรับลดลงต่อเนื่อง จากระดับเฉลี่ยประมาณ 95 บาท/หุ้น เมื่อต้นปี มาอยู่ที่ระดับ 89 บาท/หุ้นในปัจจุบัน โดยสาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำกว่าคาด และแรงกดดันจากความเสี่ยงเชิงนโยบาย โดยเฉพาะเรื่องภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีความชัดเจนในตัวเลขสุดท้าย
“ตอนนี้นักลงทุนต้องวางสมมติฐานเชิงอนุรักษ์นิยม (Conservative Assumption) เป็นฐาน เช่น ใช้ EPS ที่ระดับ 80–90 บาท/หุ้น แล้วคูณด้วย PE 13–16 เท่า จะทำให้ได้กรอบดัชนีอยู่ระหว่าง 1,040–1,280 จุด ซึ่งช่วยประเมินโอกาสและความเสี่ยงในการลงทุนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น”
ตลาดไทยยังไม่จบรอบขาขึ้น – Downside จำกัด หากภาษีสหรัฐฯ ไม่แรง
แม้ SET จะปรับขึ้นมาแรงในช่วงที่ผ่านมา แต่กิจพณมองว่า ตลาดยังไม่จบรอบขาขึ้น และหากแรงขายเกิดขึ้น ก็อาจเป็นเพียงการพักฐานระยะสั้น โดยยังมีโอกาสกลับขึ้นไปทดสอบระดับ 1,280–1,400 จุดได้อีกครั้ง หากปัจจัยเสี่ยงอย่างภาษีนำเข้า “ทรัมป์ 36%” คลี่คลาย หรือมีการต่อรองจนเหลือเพียง 10–15% เท่านั้น จะหนุน SET ปรับขึ้น
“ถ้าภาษีนำเข้าออกมาต่ำกว่าที่คาด ตลาดจะมี Upside มากขึ้น และ EPS อาจไม่ถูกปรับลดต่อ ดังนั้นโซนปัจจุบัน (1,180–1,200 จุด) อาจไม่ถูกเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่แพง หากมองในมุมกลยุทธ์และความเสี่ยงที่ลดลง ก็ยังมองเป็นจุดที่น่าลงทุนอยู่”
แนะจัดพอร์ต “หุ้น 50% – เงินสด 50%” เลือกลงทุน 3 ธีมหลักช่วงครึ่งปีหลัง
กิจพณแนะนำกลยุทธ์การลงทุนสำหรับครึ่งปีหลัง โดยให้จัดสัดส่วนการลงทุนเป็น “หุ้น 50% เงินสด 50%” โดยให้โฟกัสไปที่ 3 ธีมหลัก ดังนี้:
1. หุ้นกลุ่ม External Plays – โดยเฉพาะหุ้นที่เคยถูกลดน้ำหนักมากเกินไป เช่น กลุ่ม Packaging (IVL, SCGP) ซึ่งอาจได้ประโยชน์หากเศรษฐกิจโลกไม่แย่อย่างที่เคยกังวล
2. หุ้นกลุ่ม PE ลดลงแรง – โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว และ Healthcare ที่มีการปรับฐานแรงไปแล้ว มีโอกาสฟื้นหากกำไรเริ่มเสถียร
3. หุ้น Defensive หรือกำไรมั่นคง – เหมาะกับภาวะตลาดที่ยังมีความผันผวนสูง เช่น กลุ่มโรงพยาบาล สินค้าจำเป็น หรือสื่อสารบางตัว
หุ้นกลุ่มแบงก์ยังน่าสนใจหรือไม่?
หลังกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ออกมาแล้วเป็นส่วนใหญ่ กิจพณ มองว่างบส่วนใหญ่ “เป็นไปตามคาด แต่ไม่ตื่นเต้น” แม้บางธนาคารอย่าง BBL, KTB และ SCB จะออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อย
แม้จะไม่หวือหวา แต่หุ้นกลุ่มแบงก์ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยเฉพาะในช่วง ปลายเดือนกรกฎาคม – ต้นกันยายน ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดเริ่มเก็งกำไร “ปันผลระหว่างกาล” และมีความคาดหวังจากสถิติย้อนหลังว่าเดือนสิงหาคมมักให้ผลตอบแทนเป็นบวก
“ย้อนหลัง 5 ปี SETBANK ให้รีเทิร์นเฉลี่ย +5.68% ในเดือนสิงหาคม โดยบางปีบวกสูงถึง 13%”
— กิจพณ ไพรไพศาลกิจ
ตลาดตอบรับผู้ว่าแบงก์ชาติใหม่ไปล่วงหน้าแล้ว
สำหรับความเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกประการ คือ การแต่งตั้งผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้มีมติเห็นชอบ กิจพณประเมินว่า ตลาดน่าจะตอบรับข่าวนี้ล่วงหน้าไปพอสมควรแล้ว
“นักลงทุนคาดหวังว่าผู้ว่าคนใหม่จะมีแนวโน้มสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น ซึ่งเป็นผลบวกต่อกลุ่มไฟแนนซ์และผู้บริโภค แต่ตลาดได้เล่นประเด็นนี้ไปล่วงหน้าในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นหากไม่มีปัจจัยบวกใหม่เพิ่มเติม อาจต้องระวังการปรับฐานในระยะสั้นด้วย”
ดังนั้น แม้กลุ่มไฟแนนซ์จะได้ประโยชน์หากดอกเบี้ยลดลง แต่ก็อาจต้องระวังความผันผวนระยะสั้น หากมีแรงขายกลับจากนักลงทุนที่เข้าเก็งกำไรไปก่อนหน้าแล้ว