หุ้นไทยปรับตัวบวกต่อเนื่อง สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อปัจจัยบวกหลายด้าน ทั้งผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ทยอยประกาศออกมาไม่แย่กว่าคาด แนวโน้มการลดดอกเบี้ยนโยบาย ภายใต้การเข้ารับตำแหน่งของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ และความหวังต่อทิศทางการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่อาจไม่รุนแรงถึงขั้นเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยที่ 36%
กรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย (ลูกค้ารายย่อย) บริษัทหลักทรัพย์ CGS International (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าแรงซื้อจากต่างชาติในรอบนี้ไม่ได้มองแค่เรื่องราคาถูก แต่มองว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะฝั่งนโยบายการเงิน
ต่างชาติซื้อสุทธิทะลุ 15,800 ล้านบาทในเดือนกรกฎาคม
กรรณ์ ระบุว่า แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่อง โดย ซื้อสุทธิกว่า 3,300 ล้านบาทในวันเดียว และรวมตั้งแต่ต้นเดือน กว่า 15,800 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย และการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย โดยเฉพาะการเข้ารับตำแหน่งของผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น และใกล้ชิดภาคธุรกิจจริงจัง
นอกจากนี้ ยังมีความคาดหวังต่อการจัดตั้ง AMC (บริษัทบริหารสินทรัพย์) ร่วมกับภาครัฐ เพื่อแก้ไขหนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ตลาดตอบรับในเชิงบวก
ผลประกอบการ Q2 หนุนกลุ่มพลังงาน-อิเล็กทรอนิกส์
กรรณ์ ชี้ว่า กลุ่มที่หนุนตลาดหลักในรอบนี้คือ พลังงานและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะหุ้น PTTEP ที่ประกาศงบออกมาดี ขณะที่ DELTA แม้ตัวเลขจะไม่เด่น แต่การประชุมนักวิเคราะห์ให้ภาพเชิงบวก โดยเฉพาะในมุมมองครึ่งปีหลัง ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมาเก็งกำไรล่วงหน้า
กลุ่มพลังงานยังได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นตามท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่พยายามกดดันรัสเซียให้เร่งยุติสงครามยูเครน ซึ่งเป็นสัญญาณผ่อนคลายความตึงเครียดในระดับโลก
ดีลภาษีสหรัฐฯ–ไทยยังมีโอกาสจบในกรอบ 20–25% ไม่ใช่ระดับ 36%
ความกังวลเกี่ยวกับ ภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ที่อาจเก็บสูงถึง 36% เริ่มลดลง หลังมีท่าทีผ่อนคลายจากฝั่งสหรัฐฯ และการเข้ามาเป็น “ตัวกลาง” ในความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น
ผมเชื่อว่าภาษีไม่น่าจะเกิน 25% เพราะถ้าเป็น 36% จริง ไทยไม่มีทางยอม และฝั่งสหรัฐฯ เองก็น่าจะรู้ว่าการเจรจาต้องมีให้–รับพอสมควร
— กรรณ์ หทัยศรัทธา
หากภาษีจบที่ 20–25% ตลาดน่าจะตอบรับได้ดี และ SET Index มีแนวรับบริเวณ 1,200 จุด ที่ค่อนข้างแข็งแรง โดยมีโอกาสลุ้นกลับไปทดสอบระดับ 1,250 จุด ได้อีกครั้ง
มอง GDP ไทยปี 2568 ที่ 1.5–2.0% แม้ส่งออกชะลอ
จากตัวเลข IMF ที่ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ไทยจาก 0.2% เป็น 2.0% สอดคล้องกับมุมมองของ CGS International โดยกรรณ์คาดว่า GDP ปี 2568 จะจบที่ 1.5–2.0% ซึ่งเป็นระดับที่ตลาดประเมินว่า “จุดต่ำสุด” น่าจะผ่านไปแล้ว
ครึ่งปีแรกของปีนี้ GDP ไทยอาจโตถึง 3% ทำให้ครึ่งปีหลังแม้ชะลอ แต่ก็ยังพอประคองทั้งปีให้จบที่ 2% ได้ไม่ยาก
— กรรณ์ หทัยศรัทธ
กลยุทธ์การลงทุน: แบ่งขายกลุ่มที่ขึ้นแรง–เลือกหุ้นกลาง–เล็กที่ยัง Laggard
ในแง่กลยุทธ์ กรรณ์แนะนำนักลงทุนว่า ช่วงนี้ตลาดอาจปรับขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว ควร “แบ่งขายทำกำไร” หุ้นใหญ่ที่ขึ้นแรง เช่น กลุ่มพลังงานหรือธนาคาร ขณะเดียวกันยังสามารถ “เลือกซื้อหุ้นกลาง–เล็กที่ยังไม่ขึ้นมาก” โดยยกตัวอย่าง:
• CPALL ที่ราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน
• MOCHI (ค้าปลีก) ที่คาดว่างบไตรมาส 2 จะออกมาดี
• หุ้นกลุ่มที่ยังอยู่ต่ำกว่าราคาเฉลี่ย และยังไม่รับรู้ข่าวดีมากนัก
จับตาการเมือง–ความชัดเจนเรื่องภาษี–แนวโน้มเงินเฟ้อ
แม้ตลาดจะตอบรับปัจจัยบวกในระยะสั้น แต่ ปัจจัยการเมืองในประเทศ รวมถึงการพิจารณาดีลภาษีการค้าในช่วง 1–2 วันข้างหน้า จะยังคงเป็นตัวกำหนด “Sentiment” การลงทุนต่อจากนี้
“ฝรั่งเข้ามาแล้วกำไรอยู่ เพราะฉะนั้นเขาจะคายออกเมื่อเห็นความไม่แน่นอนหรือเห็นว่าไม่มีแรงหนุนต่อ นักลงทุนไทยต้องประเมินให้ดีว่าจังหวะไหนควรถือ จังหวะไหนควรพัก” กรรณ์กล่าวทิ้งท้าย