กรณีพิพาทระหว่างบริษัทเนสท์เล่ (ประเทศไทย) จำกัด และตระกูลมหากิจศิริ ในฐานะผู้ร่วมทุนในบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด (QCP) ยังดำเนินไปอย่างเข้มข้น หลังจากเนสท์เล่ฟ้องศาลขอเลิกกิจการ QCP พร้อมร้องให้มีการคุ้มครองชั่วคราวจากศาล ด้วยเหตุผลว่าทำธุรกิจร่วมกันต่อไม่ได้
ล่าสุด ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำสั่งให้กรรมการ (QCP) ฝ่ายมหากิจศิริ ต้องจัดทำและส่งบัญชีรายรับ–รายจ่าย พร้อมบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สินของบริษัทให้กับศาลและเนสท์เล่เป็นรายเดือน เริ่มตั้งแต่มีนาคม 2568 พร้อมกำหนดส่งย้อนหลังถึงเดือนกรกฎาคมนี้ภายในวันที่ 15 ส.ค. 2568 ขณะที่กระบวนการพิจารณาคดียกเลิกกิจการ QCP ที่เนสท์เล่ยื่นฟ้อง ยังเดินหน้าต่อ
คำสั่งดังกล่าวออกมาหลังจากที่ก่อนหน้านี้ กลุ่มมหากิจศิริแถลงว่า ศาลไม่อนุมัติคำขอของเนสท์เล่ในการแต่งตั้งบริษัท แกรนท์ ธอนตัน ให้เข้ามาดูแลทรัพย์สินของ QCP ระหว่างการพิจารณาคดี เนื่องจากศาลเห็นว่าบริษัทดังกล่าวอาจมีปัญหาเรื่องความเป็นกลาง
ขณะเดียวกัน ศาลยังระบุว่า แม้ไม่อนุมัติให้บุคคลภายนอกเข้ามาดูแลทรัพย์สิน QCP ชั่วคราว แต่ก็เห็นว่า ความขัดแย้งของผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่ายรุนแรงเกินกว่าจะปล่อยให้ไม่มีการควบคุมตรวจสอบ จึงสั่งให้กรรมการบริษัทซึ่งอยู่ฝ่ายมหากิจศิริ ทำบัญชีเพื่อความโปร่งใส และลดความเสี่ยงต่อความเสียหายของบริษัท
ข้อพิพาทนี้สืบเนื่องจากการยุติความร่วมมือในบริษัทร่วมทุน QCP ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2533 ซึ่งถือหุ้นแบบ 50:50 ระหว่างเนสท์เล่และมหากิจศิริ โดยผลิตเนสกาแฟในไทยภายใต้เทคโนโลยีและแบรนด์ของเนสท์เล่ แต่หลังจากสัญญาร่วมทุนสิ้นสุด เนสท์เล่ต้องการยุบ QCP และจัดการทรัพย์สินทั้งหมดด้วยความโปร่งใสตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ซึ่งตัดสินให้เนสท์เล่เป็นฝ่ายชนะ
เนสท์เล่ยืนยันว่า คดีนี้ไม่ได้กระทบแผนลงทุนระยะยาวในไทย โดยบริษัทเตรียมตั้งโรงงานผลิตเนสกาแฟของตัวเองในประเทศ และยังคงเป็นผู้รับซื้อกาแฟโรบัสต้าไทยรายใหญ่ที่สุดเช่นเดิม