หลังไทยได้รับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่ระดับ 19% ซึ่งต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ บัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ออกมาแสดงความเห็นว่า ความสำเร็จในการเจรจาครั้งนี้ของทีมไทยแลนด์ นำโดย พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถือเป็น ‘หมุดหมายสำคัญ’ ที่จะหนุนภาคส่งออกไทยในปี 2568 ให้มีแนวโน้มฟื้นตัวและขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม
โดยอัตราภาษี 19% นี้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม (20%) และเท่ากับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ (19%) ซึ่งช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ ขณะที่คู่แข่งอย่างอินเดียและเม็กซิโกยังถูกเก็บในอัตราที่สูงกว่าถึง 25% ส่วนแคนาดาถูกเก็บสูงถึง 35%
บัณฑิต ชี้ว่า นอกจากจะช่วยลดต้นทุนภาษีให้ผู้ส่งออกไทยแล้ว ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อการตัดสินใจลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรม ซึ่งไทยมีศักยภาพรองรับในฐานะศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาค โดย EXIM BANK ประเมินว่า ภาคส่งออกไทยในปี 2568 ซึ่งเคยคาดไว้ที่ 0.5–1.5% มีแนวโน้มขยายตัวได้มากกว่านั้น
อย่างไรก็ดี เขายังเตือนว่า ไทยต้องใช้สิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างถูกต้องเพื่อเลี่ยงการถูกตีภาษีตอบโต้เพิ่มเติมสูงถึง 40% หากมีการส่งผ่านจากประเทศที่สาม (transshipment) หรือแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของระบบการค้าไทยในระยะยาว
ในด้านบทบาทของ EXIM BANK นายบัณฑิตกล่าวว่า ธนาคารได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกและผู้ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง อาทิ ‘EXIM Export Clinic’ เพื่อให้คำปรึกษาและช่วยผู้ประกอบการที่ถูกกระทบจากภาษี โดยมีมาตรการขยายระยะเวลาชำระหนี้สูงสุด 365 วัน ปรับลดดอกเบี้ย และเติมสภาพคล่อง ทั้งยังร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานรัฐในการเปิดตลาดใหม่ให้แก่ SMEs ไทย
“EXIM BANK พร้อมเดินเคียงข้างภาคธุรกิจ สนับสนุนทั้งด้านการเงิน และเครื่องมือจัดการความเสี่ยงจากการค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”
— บัณฑิต กล่าว
บัณฑิต ยังย้ำว่า ความสำเร็จครั้งนี้คือภาพสะท้อนของความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่ลึกซึ้งและยาวนาน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการพัฒนาร่วมกันบนเวทีโลก