ในโลกการค้ายุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความผันผวนของนโยบายการค้า การแข่งขันด้านเทคโนโลยี และแรงกดดันจากมาตรฐานสิ่งแวดล้อม การสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจึงเป็นกุญแจสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ล่าสุด คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จับมือพันธมิตรญี่ปุ่น ได้แก่ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) และหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ยืนยันความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนและความร่วมมือใน 5 สาขาหลัก
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นยังคงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ของไทย และเห็นศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน โดยการหารือครั้งนี้ได้กำหนดทิศทางการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ, อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการแพทย์, ดิจิทัลและนวัตกรรม และอุตสาหกรรมสีเขียวที่เน้นลดคาร์บอนฟุตพรินต์

นอกจากนี้ บีโอไอและพันธมิตรญี่ปุ่นยังเห็นพ้องที่จะสนับสนุนสตาร์ตอัปไทย–ญี่ปุ่น สร้างโครงการร่วมวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมสีเขียว เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และสอดรับกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของทั้งสองประเทศ
การผนึกกำลังครั้งนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าการลงทุนญี่ปุ่นในไทยต่อเนื่อง พร้อมขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืนและทันสมัย ตอบโจทย์ทั้งความต้องการของตลาดโลกและความท้าทายในอนาคต
“ญี่ปุ่นเป็นมิตรแท้ของไทยมายาวนาน ถือเป็นนักลงทุนรายสำคัญและมีการลงทุนสะสมสูงที่สุดในประเทศไทย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในโลกการค้ายุคใหม่ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา บีโอไอร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการสนับสนุนนักลงทุนญี่ปุ่นในหลายด้าน เพื่อให้ธุรกิจญี่ปุ่นในไทยสามารถปรับตัวกับความท้าทายใหม่ ๆ และแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น มาตรการส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่เทคโนโลยีใหม่ มาตรการส่งเสริมกลุ่มรถยนต์ไฮบริด มาตรการส่งเสริมการใช้ Local Content สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า การจัดตั้งศูนย์ Thailand Investment and Expat Service Center (TIESC) ซึ่งเป็นวันสต็อปเซอร์วิสแห่งใหม่ การเตรียมกลไกพลังงานสะอาดสำหรับบริษัทญี่ปุ่นที่ต้องการ Go Green และล่าสุดได้ออกมาตรการอำนวยความสะดวกในการย้ายเครื่องจักรจากกัมพูชามาที่ไทย ซึ่งจะช่วยบริษัทญี่ปุ่นหลายรายที่มีฐานการผลิตเชื่อมโยงสองประเทศ ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง”
— นฤตม์ กล่าว
อาเบะ อิจิโระ ประธานเจโทร กรุงเทพฯ ย้ำว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นักลงทุนญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเจโทรจะมุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างไทย–ญี่ปุ่น รวมถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น ให้ทำงานร่วมกัน โดยการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจและกิจกรรมอื่น ๆ ที่จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนระหว่างสองประเทศ
สำหรับการลงทุนจากญี่ปุ่นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2558 - มิถุนายน 2568) มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 2,620 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 7 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ตามลำดับ
