ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย และสหรัฐฯ ที่สั่งสมมานานจะลดลงสู่ระดับ ‘ต่ำสุด’ ในรอบหลายทศวรรษ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากอินเดียเพิ่มอีก 25% เมื่อวันพุธ (6 ส.ค.) เนื่องจากอินเดียไปซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ทำให้อัตราภาษีที่อินเดียต้องจ่ายให้สหรัฐฯ ในขณะนี้อยู่ที่ 50%
คำถามก็คือ การนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียของอินเดียเติบโตขึ้นอย่างไรในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำไมมันถึงเป็นปัญหาสำหรับทรัมป์ แล้วผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภาษีที่สูงขึ้นล่ะ...
ทำไมอินเดียถึงซื้อน้ำมันจาก ‘รัสเซีย’?

อินเดีย ในฐานะหนึ่งในผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกนั้นต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์ต่างชาติสำหรับความต้องการน้ำมันมากกว่า 85% ซึ่งโดยปกติแล้ว อินเดียจะพึ่งพาตะวันออกกลางในการจัดหาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม สงครามยูเครนในปี 2022 และมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกต่อรัสเซียได้เปิดโอกาสให้อินเดียซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซียในราคาลดพิเศษ
และนั่นกลายเป็นจุดเริ่มต้น...เพราะราคาน้ำมันที่ถูกกว่าทำให้ต้นทุนของโรงกลั่นน้ำมันในอินเดียลดลงด้วย
ตามข้อมูลที่เผยแพร่โดยกระทรวงพาณิชย์ของอินเดียระบุว่า ในปี 2024 รัสเซียครองสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมดของอินเดียเกือบ 36% เพิ่มขึ้นจากประมาณ 2% ก่อนสงคราม
แม้ราคาน้ำมันรัสเซียที่ขายให้อินเดียมีส่วนลดที่ค่อยๆ ลดน้อยลงจากประมาณ 14% ในปีงบประมาณ 2023-2024 เหลือประมาณ 7% ในปีงบประมาณ 2024-2025 แต่มันก็ยังคงน่าสนใจสำหรับอินเดียในทางเศรษฐกิจ
แล้วทำไมสหรัฐฯ ต้องกังวล!!!
สหรัฐฯ กล่าวว่า การที่อินเดียซื้อน้ำมันดิบจากรัสเซียนั้นเป็นเหมือนการไป ‘สนับสนุน’ ให้รัสเซียทำสงครามในยูเครน
แม้ว่าพันธมิตรตะวันตกของยูเครนจะพยายามขัดขวางรายได้จากการส่งออกของรัสเซียหลายครั้ง แต่รัสเซียก็สามารถเปลี่ยนเส้นทางการขายพลังงานจากยุโรปไปยังประเทศอื่นๆ รวมถึงอินเดียและจีนได้
นอกเหนือจากเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว ก็ยังมีข้อพิจารณาทางเศรษฐกิจอีกด้วย...
“อินเดียคือ ‘มหาราชาแห่งภาษีศุลกากร’ หมายความว่า อินเดียเก็บภาษีศุลกากรสูงมากกับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งสร้างสภาพแวดล้อมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมสำหรับสหรัฐฯ...สหรัฐฯ ส่งเงินหลายพันล้านดอลลาร์ไปยังอินเดียเพื่อซื้อสินค้าภายใต้สภาพแวดล้อมการค้าที่ไม่เป็นธรรมนี้ แล้วอินเดียยังนำเงินดอลลาร์นั้นไปซื้อขายน้ำมันกับรัสเซียต่อ” ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ กล่าว
ถ้าไม่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย...แล้วจะซื้อจากที่ไหน

กระทรวงการต่างประเทศอินเดียเผยเมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) ว่า “อินเดียเริ่มนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย เนื่องจากแหล่งน้ำมันดิบดั้งเดิมถูกโอนไปยังยุโรปหลังจากสงครามยูเครนปะทุขึ้น”
แต่อินเดียยังคงจัดหาน้ำมันดิบจากภูมิภาคตะวันออกกลางได้ เช่น อิรัก ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยในปี 2024 อินเดียมีสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบถึง 45%
“อินเดียได้กระจายแหล่งน้ำมันไปยังประมาณ 40 ประเทศ โดยมีซัพพลายใหม่จากกายอานา บราซิล และแคนาดาเพิ่มขึ้นในตลาด” ฮาร์ดีป ซิงห์ ปุรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ กล่าว
ดังนั้น อินเดียจึงสามารถหาแหล่งพลังงานอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานได้ค่อนข้างง่าย แต่ประเด็นสำคัญคือเรื่อง ‘ต้นทุน’ เพราะไม่มีแหล่งน้ำมันทางเลือกอื่นๆ ของอินเดียที่ให้ข้อได้เปรียบด้านราคาเหมือนกับรัสเซีย
ภาษีทรัมป์จะส่งผลกระทบต่ออินเดียไหม...
ผู้ส่งออกชาวอินเดียเตือนว่าภาษีศุลกากรเพิ่มเติมของสหรัฐฯ อาจทำให้ธุรกิจ ‘ไม่สามารถอยู่รอดได้’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่อัตรากำไรต่ำอยู่แล้ว
“ภาษีตอบโต้ 50% ของสหรัฐฯ ทำให้ผู้ส่งออกของอินเดียแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงประมาณ 30-35% เมื่อเทียบกับคู่แข่งจากประเทศที่มีภาษีตอบโต้น้อยกว่า ภาษีเหล่านี้ถือเป็น ‘อุปสรรคสำคัญ’ สำหรับการส่งออกของอินเดีย”
— เอส ซี ราลฮาน ประธานสหพันธ์องค์กรส่งออกแห่งอินเดีย กล่าว
ขณะที่ มาโนรันจัน ชาร์มา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ‘Infomerics Ratings’ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดีย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Reuters ว่า “ภาษีศุลกากรจะส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอินเดีย และส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในระดับหนึ่ง”
“ถึงแม้ภาษีศุลกากรจะน่ากังวล” แต่ชาร์มา เผยว่า “ไม่มีเหตุผลที่จะต้องวิตกกังวล เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศ ‘เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่’ โดยการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18% ของ GDP ของอินเดีย”
ด้าน รันจีต เมห์ตา เลขาธิการหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งอินเดีย (PHD) ต่างก็มองในมุมเดียวกัน โดยกล่าวว่า “เศรษฐกิจอินเดียมีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่งมาก นี่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังตลาดอื่นๆ ทั่วโลก”
“ผมคิดว่านี่ถึงเวลาแล้วที่อินเดียจะต้องปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ และมุ่งเน้นไปที่เศรษฐกิจอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม เราขอเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลอินเดียและรัฐบาลสหรัฐฯ ร่วมกันเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้” เมห์ตา กล่าว
อินเดีย...จะเป็นอย่างไรต่อไป

รัฐบาลอินเดียกล่าวเมื่อวันพุธ (6 ส.ค.) ว่า“การเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมนี้เป็น ‘เรื่องน่าเศร้า’ เราขอย้ำว่าการกระทำเหล่านี้ไม่ยุติธรรม ไม่เป็นธรรม และไม่มีเหตุผล”รันธีร์ ไจสวาล โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวในแถลงการณ์ พร้อมเสริมว่า “อินเดียจะดำเนินการทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง”
ไจสวาลกล่าวอีกว่า “อินเดียได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่าการนำเข้าของประเทศนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการตลาด และเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายโดยรวมในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประชาชน 1.4 พันล้านคน”
แอชลีย์ เทลลิส นักวิเคราะห์จากมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ (CEIP) ในกรุงวอชิงตัน เผยว่า “ภาษีศุลกากรใหม่นี้ทำให้นายกฯ นเรนทระ โมดี ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก ตอนนี้อินเดียกำลังตกอยู่ในกับดัก เนื่องจากแรงกดดันจากทรัมป์ โมดีจะลดการซื้อน้ำมันของอินเดียจากรัสเซีย แต่เขาไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ต่อสาธารณะได้ เพราะกลัวจะถูกมองว่ายอมจำนนต่อการแบล็กเมล์ของทรัมป์”
ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย-รัสเซียเป็นอย่างไร

“อินเดียมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและมั่นคงกับรัสเซียตลอด 7 ทศวรรษที่ผ่านมา” สุพราหมณ์ยัม ไจชังการ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย กล่าวถึงความสัมพันธ์นี้ว่าเป็นหนึ่งเดียวที่คงเส้นคงวาในวงการการเมืองโลกตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
ความสัมพันธ์อันยาวนานนี้มีรากฐานมาจากยุคสงครามเย็น ซึ่งอินเดียยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีกับรัสเซีย ขณะที่สหรัฐฯ เริ่มเข้าหาปากีสถาน คู่แข่งสำคัญของอินเดียมากขึ้น
แม้ว่าอินเดียจะประกาศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดกับมหาอำนาจทั้งสองในยุคนั้น แต่การที่สหรัฐฯ สนับสนุนปากีสถานในสงครามกลางเมืองปี 1971 ซึ่งนำไปสู่เอกราชของบังกลาเทศ ได้ทำให้อินเดียเข้าใกล้รัสเซียมากขึ้น แล้วจากนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและรัสเซียก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในช่วง 3 ทศวรรษต่อมา และร่วมมือกันในด้านสำคัญๆ เช่น อวกาศ พลังงานนิวเคลียร์ รวมถึงการป้องกันประเทศ
ถึงกระนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียกับสหรัฐฯ ก็เริ่มดีขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้อินเดียลดการพึ่งพาอาวุธของรัสเซียลงอย่างมาก และหันมาซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ รวมถึงประเทศในยุโรปมากขึ้น ขณะเดียวกัน นายกฯ โมดีก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างอินเดียกับรัสเซียไว้ แต่ก็มุ่งมั่นที่จะกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับสหรัฐฯ ซึ่งอินเดียมองว่าเป็นพันธมิตรในการยืนหยัดต่อสู้กับจีนที่แข็งกร้าวยิ่งขึ้น
ในเวลาต่อมา หลังจากที่รัสเซียบุกยูเครน และชาติตะวันตกก็เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียมากขึ้น ช่วงเวลานั้นเองที่อินเดียเริ่มซื้อน้ำมันจากรัสเซียในปริมาณมหาศาล ทั้งยัง ‘งดออกเสียง’ ในการลงมติของสหประชาชาติที่ประณามรัสเซียในการทำสงครามในยูเครน นอกจากนี้ยัง ‘ปฏิเสธ’ ที่จะเข้าร่วมมาตรการลงโทษรัสเซียอีกด้วย
จนถึงวันนี้ นายกฯ โมดีก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับปูติน โดยเดินทางเยือนรัสเซียเมื่อเดือนตุลาคม 2024 และปูตินเองก็มีกำหนดเดินทางเยือนอินเดียในปลายปีนี้ด้วยเช่นกัน
รัสเซียยังคงเป็นแหล่งผลิตอาวุธหลักของอินเดีย
แม้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกจะค่อยๆ ลดการพึ่งพาอาวุธจากรัสเซียลงอย่างช้าๆ และไม่มีข้อตกลงด้านอาวุธสำคัญใหม่ๆ เลย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘รัสเซียยังคงเป็นแหล่งผลิตอาวุธหลักของอินเดีย’
ตามรายงานเมื่อเดือนมีนาคมของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยอิสระที่ศึกษายอดขายอาวุธทั่วโลกระบุว่า “รัสเซียเป็นซัพพลายเออร์อาวุธรายใหญ่ที่สุดให้กับอินเดีย โดยอินเดียได้สั่งซื้อเครื่องบินขับไล่ รถถัง และขีปนาวุธจากรัสเซีย อีกทั้งยังได้ร่วมทุนเพื่อผลิตปืนไรเฟิลจู่โจมคาลาชนิคอฟให้กับกองทัพอินเดียอีกด้วย”