หลังจากเกิดเหตุแผ่นไหวขนาด 8.8 บริเวณนอกชายฝั่งตะวันออกสุดของรัสเซียเมื่อวันพุธ (30 ก.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุดเท่าที่โลกเคยบันทึกไว้ ทำให้บริเวณชายฝั่งของรัสเซีย ญี่ปุ่น หมู่เกาะแปซิฟิก สหรัฐฯ รวมถึงชายฝั่งของประเทศแถบอเมริกาใต้อาจได้รับผลกระทบจากสึนามิที่เริ่มเคลื่อนตัวข้ามมหาสมุทรด้วยความเร็วหลายร้อยไมล์ต่อชั่วโมง ทางการหลายประเทศจึงเร่งแจ้งเตือนประชาชน และอพยพผู้คนออกนอกพื้นที่
ทว่าความเสียหายดูเหมือนจะไม่ร้ายแรงนัก แถมยังไม่มีคลื่นยักษ์ที่สร้างความเสียหายร้ายแรงด้วย มันเป็นเพราะสาเหตุใด?
ขนาดของแผ่นดินไหวยังมีความรุนแรง ‘น้อยกว่า’ เมื่อเทียบกับขนาด 9

“ส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้คลื่นสึนามิมีความรุนแรง ‘น้อยกว่า’ ที่คาดการณ์ไว้ อาจเกี่ยวข้องกับขนาดของแผ่นดินไหวซึ่งครั้งนี้ก็ถือว่า ‘มันใหญ่มาก’ แต่ก็ยัง ‘เล็กกว่า’ แผ่นดินไหวขนาด 9 ที่ก่อให้เกิดสึนามิร้ายแรงในอดีต เช่น เหตุการณ์สึนามิที่อินโดนีเซียในปี 2004 และญี่ปุ่นในปี 2011”
— ดร.ดิเอโก เมลการ์ นักธรณีฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยออริกอน กล่าว
“แผ่นดินไหวเมื่อวันพุธ (30 ก.ค.) นั้นเกิดขึ้นตามแนวเขตการยุบตัว (subduction zone) ซึ่งเป็นบริเวณที่แผ่นเปลือกโลกแผ่นหนึ่งเคลื่อนตัวไปใต้แผ่นเปลือกโลกอีกแผ่นหนึ่ง แบบจำลองปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลกระทบกับพื้นทะเลในบริเวณที่ยาวนับร้อยไมล์”
“หมายความว่า ยิ่งแผ่นดินไหวยาวขึ้นเท่าใด สึนามิก็จะยิ่งมีพลังงานมากขึ้นเท่านั้น แผ่นดินไหวขนาดใหญ่มักจะก่อให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ขึ้น แต่ขนาดของคลื่นขึ้นอยู่กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของแผ่นดินไหว เช่น ความลึกของการเคลื่อนตัวในส่วนต่างๆ ตามแนวที่แผ่นเปลือกโลกทั้งสองมาบรรจบกัน”ดร.เมลการ์ กล่าว
แต่สึนามิไม่ได้อ่อนแรงไปทุกที่...
“ตามแนวชายฝั่งคัมชัตกานั้นนับเป็น ‘สึนามิขนาดใหญ่และเหตุการณ์ใหญ่มากทีเดียว’...เราโชคดีที่พลังงานแผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่ได้ส่งตรงไปยังชายฝั่งสหรัฐฯ” ดร.วาซิลี ติตอฟ นักวิทยาศาสตร์จากสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) กล่าว ซึ่งอาจเทียบได้กับคลื่นที่ซัดถล่มญี่ปุ่นในปี 2011 ที่สูงถึงเกือบ 39 เมตร
สึนามิแตกต่างจาก ‘คลื่นในมหาสมุทรทั่วไป’ ซึ่งเป็นเพียงริ้วคลื่นตื้นๆ ที่เกิดจากลมพัดบนผิวน้ำ ในขณะที่ ‘สึนามิ’ เกิดจากการเคลื่อนตัวลึกลงไปใต้ทะเล และคลื่นที่เกิดนั้นคล้ายกับคลื่นที่เกิดจากการจุ่มมือลงในน้ำแล้วเคลื่อนมือขึ้นลง
เหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันพุธ (30 ก.ค.) ครั้งนี้มีความน่าสนใจอย่างหนึ่งคือ เป็นแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในบริเวณเดียวกันกับแผ่นดินไหวปี 1952 ซึ่งก่อให้เกิดคลื่นสึนามิสูงประมาณ 3.6 เมตร ที่โจมตีชายฝั่งฮาวายอย่างกะทันหัน โดยในตอนนั้นแทบไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าเลย
แต่ในครั้งนี้ เครือข่ายศูนย์เตือนภัยสึนามิในมหาสมุทรแปซิฟิก (PTWC) ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนั่นทำให้โลกเตรียมพร้อมรับมือได้มากขึ้น “มันเป็นสถานการณ์ที่ควรจะปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าเสียใจ การที่เรามีการแจ้งเตือน มันเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่” ดร.เมลการ์ กล่าว
‘ระบบเตือนภัยล่วงหน้า’ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เนื่องจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวบ่อยครั้งในภูมิภาคแปซิฟิก หลายประเทศจึงมีศูนย์เตือนภัยสึนามิ โดยส่งคำเตือนผ่านประกาศสาธารณะให้ประชาชนเร่งอพยพขึ้นที่สูง และออกจากพื้นที่ เมื่อเทียบกับเหตุการณ์สึนามิรุนแรงในปี 2004 (Boxing Day tsunami) ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ จึงทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่มีเวลาทันพอที่จะอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 230,000 รายใน 14 ประเทศบริเวณมหาสมุทรอินเดีย
เมื่อวันพุธ (30 ก.ค.) มีประชาชนเกือบ 2 ล้านคนในญี่ปุ่นได้รับคำสั่งให้อพยพไปยังที่สูง ขณะที่ในฮาวายมีเสียงไซเรนเตือนภัยสึนามิดังขึ้น และมีคำสั่งอพยพประชาชนในพื้นที่ชายฝั่งบางแห่ง “ดูเหมือนว่าวิธีนี้จะได้ผลดีมาก...ประชาชนมีความพร้อมในระยะยาวที่จะรู้ว่าต้องทำอย่างไร” อิลัน เคลแมน ศาสตราจารย์ด้านภัยพิบัติและสุขภาพที่มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน กล่าว
เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถคาดการณ์เวลาที่แน่นอนได้ว่าแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นเมื่อใด ระบบเตือนภัยจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ประชาชนที่อยู่บริเวณชายฝั่งได้รับข้อมูลล่วงหน้าในการเตรียมพร้อมและอพยพออกไปในเวลาที่เหมาะสม
ยกตัวอย่างกรณีสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ที่ได้บันทึกเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.4 ในบริเวณเดียวกันเมื่อ 10 วันก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะทราบว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น แต่การคาดการณ์ว่าจะทำให้เกิดสึนามิรุนแรงเมื่อใดก็ยังเป็นเรื่องยาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่ระบบเตือนภัยพร้อมใช้และมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุดสำหรับความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยงสึนามินั่นเอง
“แม้ว่าเราจะสามารถใช้ข้อมูลความเร็วที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ หรือใช้ระบบ GPS ในการวัดการเคลื่อนไหวปัจจุบัน และใช้ข้อมูลช่วงเวลาที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งก่อนๆ เพื่อช่วยประเมิน แต่เราสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ได้เพียงเพื่อคาดการณ์ความน่าจะเป็นของแผ่นดินไหวเท่านั้น ไม่สามารถทำนายเวลาหรือขนาดที่แน่นอนได้” ศาสตราจารย์ลิซา แม็กนีล ศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเซาแทมป์ตัน กล่าว
(Photo by Handout / Geophysical Service of the Russian Academy of Sciences / AFP)