ทำความรู้จัก ‘PHL-03’ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีรายงานว่ากัมพูชาเตรียมขนมาใช้รบกับไทย ซึ่งเป็นระบบจรวดหลายลำกล้องพิสัยไกลจากจีนขนาด 300 มม.จำนวน 12 ท่อที่ติดตั้งบนรถบรรทุก 1 คัน สามารถยิงจรวดหนักกว่า 800 กิโลกรัมได้ไกลถึง 70-130 กม. ในขณะที่เครื่องยิงจรวด ‘BM-21’ ที่กัมพูชาใช้งานอยู่ ยิงได้ไกลแค่ 15-40 กม.เท่านั้น
ส่วนใหญ่มักถูกใช้ยิงถล่มพื้นที่กว้าง ซึ่งการยิงเต็มชุด 1 ครั้งสามารถครอบคลุมพื้นที่หลายสิบเฮกตาร์ จึงเป็นระบบอาวุธที่เหมาะกับการทำลาย หรือกดดันฝ่ายตรงข้ามในระดับยุทธการ สำหรับพิสัยการยิงสูงสุด 130 กม.อาจกระทบถึงพื้นที่ใน 9 จังหวัดของไทย ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สระแก้ว ฉะเชิงเทรา จันทบุรี และตราด
ระบบ PHL-03 มีระบบควบคุมการยิงด้วยคอมพิวเตอร์( FCS ) ที่รวมระบบนำทางด้วยดาวเทียม GPS / GLONASS / BeiDou ทำให้เล็ง ยิง และเปลี่ยนตำแหน่งได้เร็ว ซึ่งเหมาะกับการ ‘ยิงแล้วถอย’
นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังพัฒนาจากระบบปืนใหญ่จรวด ‘BM-30 Smerch’ ที่ผลิตในสหภาพโซเวียต ซึ่งบทบาทหลักของเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องนี้ก็คือ ‘การโจมตีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์’ เช่น กองกำลังขนาดใหญ่ สนามบิน ศูนย์บัญชาการ กองร้อยป้องกันภัยทางอากาศ และยังใช้ในภารกิจยิงตอบโต้ปืนใหญ่อีกด้วย
สำหรับหัวรบได้แก่ :
- หัวรบแบบกระจายแรงระเบิดสูง (HE-FRAG)
- หัวรบแบบเชื้อเพลิงอากาศ
- หัวรบแบบคลัสเตอร์ต่อต้านบุคคล/เกราะ
- หัวรบแบบนำวิถีต่อต้านรถถัง
แล้วจะสกัดกั้นระบบ ‘PHL-03’ ได้อย่างไร...

สำหรับการสกัดกั้น หรือต่อสู้กลับนั้น ทางเพจ ‘thaiarmedforce.com’ ซึ่งให้ความรู้ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ อธิบายไว้ว่า “มีระบบอาวุธหลายแบบในโลกนี้ที่สามารถสกัดจรวดแบบนี้ได้ คือ ระบบ C-RAM (Counter Rocket, Artillery, and Mortar) ที่เรารู้จักกันดีก็เช่น ‘Iron Dome’ ของอิสราเอล หรือ ‘Land Phalanx’ ของสหรัฐฯ”
ทั้งนี้พบว่า ปัญหาของการใช้งานระบบแบบนี้ก็คือ ระบบตั้งรับมักจะมีราคาแพงกว่าระบบเชิงรุก ทั้งในแง่ระบบตรวจจับและระบบทำลาย แต่สิ่งที่ง่ายกว่า และถูกกว่าก็คือ ‘การใช้จุดอ่อน’ ของระบบจรวดให้เป็นจุดแข็งในการป้องกันกล่าวคือ ถ้ามีการรบเกิดขึ้นก็จะเป็นการรบแบบจำกัดพื้นที่ อีกทั้งทางกัมพูชาเองก็จะไม่ใช้จรวดเหล่านี้ยิงทำลายเป้าหมายเขตเมือง หรืออำเภอเมืองต่างๆ ของไทยโดยตรงเพื่อป้องกันผลทางการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้น
วิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การไม่รวมพลในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นจำนวนมาก แต่ควรใช้วิธีวางกำลังแบบกระจาย และเมื่อถึงเวลาก็รวมกำลังที่จุดนัดพบเพื่อปฏิบัติการต่อเป้าหมาย เนื่องจากการวางกำลังกระจาย จะทำให้เป้าหมายฝ่ายเราที่ถูกทำลายนั้นสูญเสียน้อยแล้ว และจรวดของฝ่ายกัมพูชาก็สูญเสียไปจำนวนมาก เพราะกัมพูชาจะยิงไปเรื่อยๆ แล้วจรวดก็จะหมดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแนวคิดนี้ ยูเครนก็นำไปใช้จนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
“จริงๆ แล้วกัมพูชาวางแผนจะใช้ PHL-03 โจมตีไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมแล้ว แต่ผมได้รับแจ้งว่าจีนขอร้องไม่ให้กัมพูชาใช้ระบบนี้ ผมคิดว่าจากมุมมองของจีน พวกเขากังวลว่าถ้ากัมพูชาใช้ระบบจรวดดังกล่าว จะทำให้ความขัดแย้งทางทหารยกระดับรุนแรงขึ้นไปอีก”
— ดร.ราห์มาน ยาคอบ ที่ปรึกษาโครงการทุนการศึกษาป้องกันประเทศอาเซียน-ออสเตรเลียจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย บอกกับสำนักข่าว The Telegraph
ขณะที่ แอนโธนี่ เดวิส นักวิเคราะห์ความมั่นคงประจำกรุงเทพฯ เผยว่า “PHL-03 คือระบบปืนใหญ่ที่หนักที่สุดที่กองทัพกัมพูชามี แถมยังสามารถยิงลึกเข้าไปถึงเป้าหมายในดินแดนไทยได้”
ประเทศไหนที่ใช้ ‘PHL-03’ บ้าง?

- สาธารณรัฐประชาชนจีน 175 ระบบ
- กัมพูชา 6 ระบบ มีรายงานว่าฐานปฏิบัติการอยู่ในจังหวัดกำปงสปือ
- โมร็อกโก 36 ระบบ
- เอธิโอเปีย
- อาร์เมเนีย
ขอบคุณข้อมูลจากเพจ ‘thaiarmedforce.com’



