แท้จริงแล้ว...ทรัมป์-ปูตินต้องการอะไรกันแน่จากการประชุมสุดยอดที่อะแลสก้า

15 ส.ค. 2568 - 05:39

  • วาระสำคัญที่ทั่วโลกต่างจับตามองกำลังเกิดอีกครั้ง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย จะพบกันในรอบ 6 ปีในการประชุมสุดยอดวันที่ 15 ส.ค.นี้ที่ฐานทัพร่วมเอลเมนดอร์ฟ–ริชาร์ดสัน รัฐอะแลสก้า สหรัฐฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเจรจายุติสงครามในยูเครน

  • ก่อนการประชุม ปูตินยังคงยึดมั่นที่จะยึดครองดินแดนยูเครน ขณะที่ทรัมป์เองก็มีเป้าหมายที่จะรักษาภาพลักษณ์ในฐานะ ‘ผู้รักษาสันติภาพระดับโลก’

  • จริงๆ แล้ว...ทรัมป์-ปูตินต้องการอะไรกันแน่จากการประชุมสุดยอดครั้งนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้น

แท้จริงแล้ว...ทรัมป์-ปูตินต้องการอะไรกันแน่จากการประชุมสุดยอดที่อะแลสก้า

วาระสำคัญที่ทั่วโลกต่างจับตามองกำลังเกิดอีกครั้ง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย จะพบกันในรอบ 6 ปีในการประชุมสุดยอดวันที่ 15 ส.ค.นี้ที่ฐานทัพร่วมเอลเมนดอร์ฟ–ริชาร์ดสัน รัฐอะแลสก้า สหรัฐฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเจรจายุติสงครามในยูเครน 

ก่อนการประชุม ปูตินยังคงยึดมั่นที่จะยึดครองดินแดนยูเครน ขณะที่ทรัมป์เองก็มีเป้าหมายที่จะรักษาภาพลักษณ์ในฐานะ ‘ผู้รักษาสันติภาพระดับโลก’ 

ว่าแต่ว่า จริงๆ แล้วผู้นำทั้งสองต้องการอะไรจากการประชุมสุดยอดครั้งนี้กันแน่... 

ปูตินมุ่งหวังที่จะได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ 

(Photo by Vyacheslav PROKOFYEV / POOL / AFP)
(Photo by Vyacheslav PROKOFYEV / POOL / AFP)

สิ่งแรกที่ปูตินต้องการจากการประชุมสุดยอดครั้งนี้ก็คือ ‘การยอมรับ’ จากประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาว่าความพยายามของฝ่ายตะวันตกในการกีดกันผู้นำรัสเซียนั้นล้มเหลว  

ความจริงที่ว่าการประชุมระดับสูงครั้งนี้กำลังเกิดขึ้นเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงเรื่องนี้ เช่นเดียวกับการแถลงข่าวร่วมที่สภาเครมลินประกาศออกมา ซึ่งช่วยโต้แย้งได้ว่ารัสเซียสามารถกลับมาอยู่บนเวทีการเมืองระดับโลกได้อีกครั้ง 

“แม้จะพูดว่ารัสเซียแยกตัวโดดเดี่ยวแล้ว แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้น” หนังสือพิมพ์ Moskovsky Komsomolets รายงานเมื่อต้นสัปดาห์นี้ 

ปูตินไม่เพียงแต่จัดการประชุมสุดยอดระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซียเท่านั้น แต่สถานที่จัดการประชุมยังยอดเยี่ยมอีกด้วย นั่นก็คือ ‘รัฐอะแลสก้า’ ซึ่งมันเป็นประโยชน์มากสำหรับรัสเซีย  

  • ประการแรกคือ ‘ความปลอดภัย’ เพราะเป็นจุดที่ใกล้ที่สุด เนื่องจากแผ่นดินใหญ่ของอะแลสก้าห่างจากเขตปกครองตัวเองชูคอตกาของรัสเซียเพียง 90 กิโลเมตร ซึ่งปูตินสามารถเดินทางไปที่นั่นได้โดยไม่ต้องบินผ่านดินแดนของประเทศที่เป็น ‘ศัตรู’ 
  • ประการที่สอง อะแลสก้านั้นอยู่ ‘ไกลมาก’ จากยูเครนและยุโรป ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของรัสเซียที่จะกีดกันยูเครนและสหภาพยุโรป เพื่อที่จะเจรจาโดยตรงกับสหรัฐฯ  
  • ประการที่สาม สถานที่แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งรัสเซียในยุคซาร์ได้ขายดิแดนอะแลสก้าให้กับสหรัฐฯ ในศตวรรษที่ 19 โดยในเวลาต่อมารัสเซียนำมาใช้เป็นเหตุผลสนับสนุนความพยายามเปลี่ยนแปลงพรมแดนด้วยกำลังในศตวรรษที่ 21    

“อะแลสก้าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าพรมแดนของรัฐสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และดินแดนขนาดใหญ่สามารถเปลี่ยนเจ้าของได้”

หนังสือพิมพ์ Moskovsky Komsomolets ระบุ 

แต่ปูตินต้องการมากกว่าแค่การยอมรับในระดับนานาชาติ...

เขาต้องการชัยชนะ ปูตินยืนกรานมาตลอดว่ารัสเซียจะยังคงครอบครองดินแดนทั้งหมดที่ยึดได้และครอบครองใน 4 ภูมิภาคของยูเครน ได้แก่ โดเนตสก์, ลูฮานสก์, ซาปอริชเชีย และเคอร์ซอน ซึ่งปูตินเองก็ต้องการให้ยูเครนถอนกำลังออกจากพื้นที่ที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของยูเครน 

“สำหรับยูเครนแล้ว สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ชาวยูเครนจะไม่ยอมยกที่ดินของตัวเองให้กับผู้ยึดครอง” โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีของยูเครน กล่าว 

อย่างไรก็ตาม รัสเซียทราบถึงเรื่องนี้ดี แต่ถ้าหากได้รับการสนับสนุนจากทรัมป์สำหรับข้อเรียกร้องเรื่องดินแดน และอาจเป็นไปได้ว่า การปฏิเสธของยูเครนจะส่งผลให้ทรัมป์ตัดการสนับสนุนยูเครนทั้งหมด ในขณะเดียวกัน รัสเซียและสหรัฐฯ ก็จะเดินหน้าพัฒนาความสัมพันธ์และการร่วมมือทางเศรษฐกิจต่อไป  

...ทว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจก็สำคัญ 

เนื่องจากเศรษฐกิจของรัสเซียกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน รวมถึงการขาดดุลงบประมาณก็เพิ่มขึ้น แถมรายได้จากการส่งออกน้ำมันและก๊าซก็ลดลงด้วย หากปัญหาเศรษฐกิจกำลังผลักดันให้ปูตินยุติสงคราม รัสเซียก็อาจประนีประนอมได้ แต่ในขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บ่งชี้ว่ารัสเซียยังคงยืนกรานฝ่ายตัวเองได้เปรียบและเป็นฝ่ายรุกในสนามรบอยู่ 

ทรัมป์ต้องการรักษาภาพลักษณ์ในฐานะ ‘ผู้รักษาสันติภาพระดับโลก’? 

(Photo by Andrew Harnik / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)
(Photo by Andrew Harnik / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)

ทรัมป์เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 ว่า ‘การยุติสงครามยูเครนจะเป็นเรื่องง่าย และเขาสามารถทำได้ภายในไม่กี่วัน’ และแน่นอนว่าคำสัญญานี้ยังคงฝังแน่นอยู่ในความพยายามของทรัมป์ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน  

เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์ที่ปูตินโจมตีเป้าหมายพลเรือนมากขึ้น และขู่ว่าจะคว่ำบาตรรัสเซียครั้งใหม่เพื่อลงโทษที่ทำสงครามในยูเครน โดยมีกำหนดเส้นตายเมื่อวันศุกร์ (8 ส.ค.) ที่ผ่านมา เว้นแต่ปูตินจะยอมเข้าร่วมการเจรจา โดยเส้นตายดังกล่าวมาถึงและผ่านไปโดยไม่มีการคว่ำบาตรใหม่ ซึ่งอาจมีผลจำกัดเนื่องจากการค้าระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียอยู่ในระดับต่ำ   

ทรัมป์เผยเมื่อวันจันทร์ (11 ส.ค.) ว่า “การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะเป็นเหมือนการประชุมที่สัมผัสได้” และเสริมว่า เขาจะรู้ได้เลยว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับผู้นำรัสเซียได้หรือไม่ ‘อาจจะภายใน 2 นาทีแรกด้วยซ้ำ’ 

“ผมอาจจะลุกออกไปและกล่าวอวยพรให้โชคดี และนั่นจะถือเป็นจุดจบ หรือผมอาจจะบอกว่าเรื่องนี้คงไม่มีทางยุติลงได้”

ทรัมป์ กล่าวเสริม 

แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวเมื่อวันอังคาร (12 ส.ค.) ว่า “การประชุมสุดยอดครั้งนี้เป็น ‘การประชุมรับฟังความคิดเห็น’” แต่ในช่วงกลางสัปดาห์ ทรัมป์กลับมาพูดถึงโอกาสที่จะเกิดข้อตกลงอีกครั้งว่าเขาเชื่อว่าทั้งเซเลนสกีและปูตินต่างก็ต้องการสันติภาพ 

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมาตลอดทั้งปีคือ ทรัมป์ยินดีกับโอกาสที่จะเป็นผู้ยุติสงคราม ในคำปราศรัยพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์กล่าวว่า เขาต้องการเป็น ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเขาปรารถนาอยากได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และหากมีโอกาสเพื่อให้เขาได้ก้าวหน้าไปสู่สันติภาพระหว่างการเจรจาที่อะแลสก้า เขาก็พร้อมจะคว้าโอกาสนั้นไว้ 

ส่วนปูติน ซึ่งเป็นนักเจรจาที่ชาญฉลาดเสมอมา ก็อาจหาทางให้ทรัมป์ทำเช่นนั้นได้ แน่นอนว่าต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของรัสเซียเท่านั้น 

(Photo by Brendan Smialowski / AFP) 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์