วาระสำคัญที่ทั่วโลกต่างจับตามองกำลังเกิดอีกครั้ง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย จะพบกันในรอบ 6 ปีในการประชุมสุดยอดวันที่ 15 ส.ค.นี้ที่ฐานทัพร่วมเอลเมนดอร์ฟ–ริชาร์ดสัน รัฐอะแลสก้า สหรัฐฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเจรจายุติสงครามในยูเครน
ก่อนการประชุม ปูตินยังคงยึดมั่นที่จะยึดครองดินแดนยูเครน ขณะที่ทรัมป์เองก็มีเป้าหมายที่จะรักษาภาพลักษณ์ในฐานะ ‘ผู้รักษาสันติภาพระดับโลก’
ว่าแต่ว่า จริงๆ แล้วผู้นำทั้งสองต้องการอะไรจากการประชุมสุดยอดครั้งนี้กันแน่...
ปูตินมุ่งหวังที่จะได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ

สิ่งแรกที่ปูตินต้องการจากการประชุมสุดยอดครั้งนี้ก็คือ ‘การยอมรับ’ จากประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกาว่าความพยายามของฝ่ายตะวันตกในการกีดกันผู้นำรัสเซียนั้นล้มเหลว
ความจริงที่ว่าการประชุมระดับสูงครั้งนี้กำลังเกิดขึ้นเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงเรื่องนี้ เช่นเดียวกับการแถลงข่าวร่วมที่สภาเครมลินประกาศออกมา ซึ่งช่วยโต้แย้งได้ว่ารัสเซียสามารถกลับมาอยู่บนเวทีการเมืองระดับโลกได้อีกครั้ง
“แม้จะพูดว่ารัสเซียแยกตัวโดดเดี่ยวแล้ว แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้น” หนังสือพิมพ์ Moskovsky Komsomolets รายงานเมื่อต้นสัปดาห์นี้
ปูตินไม่เพียงแต่จัดการประชุมสุดยอดระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซียเท่านั้น แต่สถานที่จัดการประชุมยังยอดเยี่ยมอีกด้วย นั่นก็คือ ‘รัฐอะแลสก้า’ ซึ่งมันเป็นประโยชน์มากสำหรับรัสเซีย
- ประการแรกคือ ‘ความปลอดภัย’ เพราะเป็นจุดที่ใกล้ที่สุด เนื่องจากแผ่นดินใหญ่ของอะแลสก้าห่างจากเขตปกครองตัวเองชูคอตกาของรัสเซียเพียง 90 กิโลเมตร ซึ่งปูตินสามารถเดินทางไปที่นั่นได้โดยไม่ต้องบินผ่านดินแดนของประเทศที่เป็น ‘ศัตรู’
- ประการที่สอง อะแลสก้านั้นอยู่ ‘ไกลมาก’ จากยูเครนและยุโรป ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของรัสเซียที่จะกีดกันยูเครนและสหภาพยุโรป เพื่อที่จะเจรจาโดยตรงกับสหรัฐฯ
- ประการที่สาม สถานที่แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งรัสเซียในยุคซาร์ได้ขายดิแดนอะแลสก้าให้กับสหรัฐฯ ในศตวรรษที่ 19 โดยในเวลาต่อมารัสเซียนำมาใช้เป็นเหตุผลสนับสนุนความพยายามเปลี่ยนแปลงพรมแดนด้วยกำลังในศตวรรษที่ 21
“อะแลสก้าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าพรมแดนของรัฐสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และดินแดนขนาดใหญ่สามารถเปลี่ยนเจ้าของได้”
— หนังสือพิมพ์ Moskovsky Komsomolets ระบุ
แต่ปูตินต้องการมากกว่าแค่การยอมรับในระดับนานาชาติ...
เขาต้องการชัยชนะ ปูตินยืนกรานมาตลอดว่ารัสเซียจะยังคงครอบครองดินแดนทั้งหมดที่ยึดได้และครอบครองใน 4 ภูมิภาคของยูเครน ได้แก่ โดเนตสก์, ลูฮานสก์, ซาปอริชเชีย และเคอร์ซอน ซึ่งปูตินเองก็ต้องการให้ยูเครนถอนกำลังออกจากพื้นที่ที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของยูเครน
“สำหรับยูเครนแล้ว สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ชาวยูเครนจะไม่ยอมยกที่ดินของตัวเองให้กับผู้ยึดครอง” โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีของยูเครน กล่าว
อย่างไรก็ตาม รัสเซียทราบถึงเรื่องนี้ดี แต่ถ้าหากได้รับการสนับสนุนจากทรัมป์สำหรับข้อเรียกร้องเรื่องดินแดน และอาจเป็นไปได้ว่า การปฏิเสธของยูเครนจะส่งผลให้ทรัมป์ตัดการสนับสนุนยูเครนทั้งหมด ในขณะเดียวกัน รัสเซียและสหรัฐฯ ก็จะเดินหน้าพัฒนาความสัมพันธ์และการร่วมมือทางเศรษฐกิจต่อไป
...ทว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจก็สำคัญ
เนื่องจากเศรษฐกิจของรัสเซียกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน รวมถึงการขาดดุลงบประมาณก็เพิ่มขึ้น แถมรายได้จากการส่งออกน้ำมันและก๊าซก็ลดลงด้วย หากปัญหาเศรษฐกิจกำลังผลักดันให้ปูตินยุติสงคราม รัสเซียก็อาจประนีประนอมได้ แต่ในขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บ่งชี้ว่ารัสเซียยังคงยืนกรานฝ่ายตัวเองได้เปรียบและเป็นฝ่ายรุกในสนามรบอยู่
ทรัมป์ต้องการรักษาภาพลักษณ์ในฐานะ ‘ผู้รักษาสันติภาพระดับโลก’?

ทรัมป์เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2024 ว่า ‘การยุติสงครามยูเครนจะเป็นเรื่องง่าย และเขาสามารถทำได้ภายในไม่กี่วัน’ และแน่นอนว่าคำสัญญานี้ยังคงฝังแน่นอยู่ในความพยายามของทรัมป์ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์ที่ปูตินโจมตีเป้าหมายพลเรือนมากขึ้น และขู่ว่าจะคว่ำบาตรรัสเซียครั้งใหม่เพื่อลงโทษที่ทำสงครามในยูเครน โดยมีกำหนดเส้นตายเมื่อวันศุกร์ (8 ส.ค.) ที่ผ่านมา เว้นแต่ปูตินจะยอมเข้าร่วมการเจรจา โดยเส้นตายดังกล่าวมาถึงและผ่านไปโดยไม่มีการคว่ำบาตรใหม่ ซึ่งอาจมีผลจำกัดเนื่องจากการค้าระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียอยู่ในระดับต่ำ
ทรัมป์เผยเมื่อวันจันทร์ (11 ส.ค.) ว่า “การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะเป็นเหมือนการประชุมที่สัมผัสได้” และเสริมว่า เขาจะรู้ได้เลยว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับผู้นำรัสเซียได้หรือไม่ ‘อาจจะภายใน 2 นาทีแรกด้วยซ้ำ’
“ผมอาจจะลุกออกไปและกล่าวอวยพรให้โชคดี และนั่นจะถือเป็นจุดจบ หรือผมอาจจะบอกว่าเรื่องนี้คงไม่มีทางยุติลงได้”
— ทรัมป์ กล่าวเสริม
แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวเมื่อวันอังคาร (12 ส.ค.) ว่า “การประชุมสุดยอดครั้งนี้เป็น ‘การประชุมรับฟังความคิดเห็น’” แต่ในช่วงกลางสัปดาห์ ทรัมป์กลับมาพูดถึงโอกาสที่จะเกิดข้อตกลงอีกครั้งว่าเขาเชื่อว่าทั้งเซเลนสกีและปูตินต่างก็ต้องการสันติภาพ
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนมาตลอดทั้งปีคือ ทรัมป์ยินดีกับโอกาสที่จะเป็นผู้ยุติสงคราม ในคำปราศรัยพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ทรัมป์กล่าวว่า เขาต้องการเป็น ‘ผู้สร้างสันติภาพ’ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเขาปรารถนาอยากได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ และหากมีโอกาสเพื่อให้เขาได้ก้าวหน้าไปสู่สันติภาพระหว่างการเจรจาที่อะแลสก้า เขาก็พร้อมจะคว้าโอกาสนั้นไว้
ส่วนปูติน ซึ่งเป็นนักเจรจาที่ชาญฉลาดเสมอมา ก็อาจหาทางให้ทรัมป์ทำเช่นนั้นได้ แน่นอนว่าต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของรัสเซียเท่านั้น
(Photo by Brendan Smialowski / AFP)