นโยบายภาษีใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันพฤหัสบดี ส่งผลให้อัตราภาษีสินค้าเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 15-41% สำหรับประเทศคู่ค้าหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งถือเป็นการขยายมาตรการทางการค้าที่ทรัมป์ดำเนินการตั้งแต่กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง
สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เผชิญกับภาษีใหม่ในอัตรา 15% แม้จะมีการเจรจาตกลงกับวอชิงตันเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงกว่าแล้ว ขณะที่อินเดียต้องเผชิญภาษี 25% และจะเพิ่มเป็นสองเท่า คือ 50% ภายใน 3 สัปดาห์
ประเทศที่รับผลกระทบหนักสุด
ซีเรีย เมียนมา และลาวเผชิญกับภาษีในระดับสูงมาก คือ 40% หรือ 41% ซึ่งถือเป็นระดับที่รุนแรงที่สุดในรอบนี้ ทั้งนี้ ภาษีใหม่เหล่านี้ไม่ครอบคลุมสินค้าเฉพาะสาขาที่มีมาตรการแยกต่างหาก เช่น เหล็ก รถยนต์ ยา และชิปเซมิคอนดักเตอร์
บรรดาบริษัทและกลุ่มอุตสาหกรรมเตือนว่าภาษีใหม่จะส่งผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อธุรกิจขนาดเล็กของอเมริกัน ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าอาจกระตุ้นเงินเฟ้อและส่งผลต่อการเติบโตในระยะยาว
มาร์ค บุช ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ คาดว่าธุรกิจอเมริกันจะส่งต่อภาระค่าใช้จ่ายไปยังผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากช่วงรอ 90 วันที่ผ่านมาทำให้ผู้นำเข้ามีเวลาเก็บสต็อกสินค้า แต่ตอนนี้สต็อกเริ่มลดลง
ความไม่แน่นอนในรายละเอียดข้อตกลง
ข้อตกลงภาษีที่มีผลวันพฤหัสบดียังทิ้งคำถามสำหรับประเทศที่เพิ่งเจรจาข้อตกลงกับทรัมป์ เช่น ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ดูเหมือนจะมีความเห็นไม่ตรงกันในรายละเอียดสำคัญของข้อตกลงภาษี โดยเฉพาะวันที่จะลดภาษีรถยนต์ญี่ปุ่น
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวแจ้ง AFP ว่าภาษี 15% ของญี่ปุ่นจะรวมกับภาษีที่มีอยู่แล้ว แม้โตเกียวจะคาดหวังสัมปทานบางอย่าง สำหรับสหภาพยุโรป ขณะนี้ยังคงพยายามขอยกเว้นภาษีสำหรับอุตสาหกรรมไวน์ที่สำคัญ
การที่ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีชิปเซมิคอนดักเตอร์ 100% แต่ยกเว้น TSMC เนื่องจากมีโรงงานในสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่านโยบายนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการปรับโครงสร้างการค้าโลกครั้งใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและราคาสินค้าทั่วโลก