ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอัตรา ‘ภาษีใหม่’ ตั้งแต่อัตรา 10-41% สำหรับทุกประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งทรัมป์บอกว่าเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า แต่ไม่ได้มีผลบังคับใช้ในวันศุกร์ (1 ส.ค.) ตามที่คาดการณ์ไว้ โดยจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 7 สิงหาคม เพื่อให้กรมศุลกากรและป้องกันชายแดน (CBP) มีเวลาเพียงพอในการปรับเปลี่ยนอัตราภาษีศุลกากรใหม่
SPACEBAR พาไปสำรวจสาระสำคัญของอัตราภาษีที่ทรัมป์เพิ่งประกาศใหม่ในวันที่ 1 ส.ค.ว่ามีอะไรบ้าง...
- สำหรับ ‘ภาษีศุลกากรสากล’ สินค้าที่นำเข้าสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ที่ 10% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่บังคับใช้เมื่อวันที่ 2 เมษายน แต่อัตราภาษี 10% นี้จะบังคับใช้เฉพาะกับประเทศที่สหรัฐฯ มี ‘ดุลการค้าเกินดุล’ ด้วย ซึ่งเป็นประเทศที่สหรัฐฯ ส่งออกมากกว่านำเข้า ซึ่งมีผลบังคับใช้กับประเทศส่วนใหญ่
- อัตราภาษี 15% จะเป็นอัตราภาษีขั้นต่ำใหม่สำหรับประเทศที่สหรัฐฯ มีการ ‘ขาดดุลการค้า’ ด้วย (นำเข้าเกินส่งออก) โดยประมาณ 40 ประเทศจะต้องจ่ายภาษีขั้นต่ำนั้น
- ประเทศมากกว่าสิบประเทศมีอัตราภาษีศุลกากรสูงกว่า 15% ซึ่งอาจเป็นเพราะประเทศเหล่านั้นตกลงตามกรอบการค้ากับสหรัฐฯ หรือเพราะทรัมป์ส่งจดหมายถึงผู้นำเหล่านั้นเพื่อกำหนดอัตราภาษีศุลกากรที่สูงขึ้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงกล่าวว่า “ประเทศเหล่านี้มีการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ”
- นโยบายการค้าใหม่ยังกำหนดบทลงโทษเพิ่มเติมอีก 40% สำหรับสินค้าที่เรียกว่า ‘การส่งต่อสินค้า’ (transshipments) ซึ่งเป็นสินค้าที่จัดส่งจากประเทศที่มีอัตราภาษีศุลกากรสูงไปยังประเทศที่มีอัตราภาษีศุลกากรต่ำ แล้วจึงส่งกลับไปยังสหรัฐฯ อีกครั้ง
- สหรัฐฯ ได้กำหนดบทลงโทษและค่าปรับสำหรับสินค้าที่เจ้าหน้าที่จากกรม CBP เห็นว่าเป็นการส่งต่อสินค้าอย่างผิดกฎหมาย

สำหรับการประกาศรอบนี้ ‘ซีเรีย’ กลายเป็นประเทศที่โดนภาษีของทรัมป์หนักที่สุดที่ 41% ซึ่งสหรัฐฯ ยังไม่แจ้งว่าเก็บในอัตรานี้เพราะสาเหตุใด ตามมาด้วยสองประเทศที่ยากจนที่สุดอย่างลาว และเมียนมาที่โดนภาษีถึง 40% แม้จะปรับลดลงจากอัตราเดิมแล้วก็ตาม ขณะที่เพื่อนบ้านสหรัฐฯ อย่างแคนาดาก็โดนเรียกเก็บเพิ่มจาก 25% เป็น 35% ส่วนเม็กซิโกโดน 25% ซึ่งทรัมป์เพิ่งขยายระยะเวลาการเจรจาออกไปอีก 90 วัน
ประเทศคู่แข่งอย่างจีนยังเผชิญภาษีที่ 30% และกำลังอยู่ในช่วงสงบศึกทางการค้าชั่วคราวกับสหรัฐฯ ซึ่งจะถึงกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 12 ส.ค. แต่เจ้าหน้าที่เผยว่า “อาจมีข้อตกลงเพิ่มเติมเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้”
ส่วนญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ปิดดีลได้ที่ 15% ซึ่งทรัมป์บอกว่าข้อตกลงกับญี่ปุ่นนั้นเป็น ‘ข้อตกลงที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา’ โดยญี่ปุ่นจะลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 18 ล้านล้านบาท) นั่นหมายความว่า สหรัฐฯ จะได้รับ ‘ผลกำไร 90%’ ขณะที่เกาหลีใต้จะลงทุนกับสหรัฐฯ มูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 11 ล้านล้านบาท)
ประเทศในกลุ่ม ‘อาเซียน’ ต้องจ่ายเท่าไรบ้าง?
.jpg&w=3840&q=75)
อย่างที่ทราบกันดีว่าเวียดนามเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่เจรจากับสหรัฐฯ และได้ปลับลดภาษีลงกว่าครึ่งหนึ่งจาก 46% เหลือ 20% แลกกับการที่เวียดนามจะไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าใดๆ จากสหรัฐฯ เลยแต่ดูเหมือนว่าลึกๆ แล้ว เวียดนามจะไม่พอใจเท่าใดนัก เพราะตอนที่เจรจาเวียดนามก็ตั้งเป้าว่าจะได้ลดน้อยกว่านี้ แถมยังไม่มีเอกสารอย่างเป็นทางการจากเวียดนามออกมาด้วย
ส่วนอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์สามารถบรรลุดีลได้ที่ 19% โดยฟิลิปปินส์จะเปิดตลาดเสรีกับสหรัฐฯ ยกเว้นภาษีเกือบทั้งหมดในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และร่วมมือกันทางทหารด้วย ขณะที่ อินโดนีเซียให้คำมั่นว่าจะซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.8 แสนล้านบาท) สินค้าเกษตรอเมริกันมูลค่า 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.4 แสนล้านบาท) รวมถึงเครื่องบินโบอิ้งอีก 50 ลำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรุ่น 777
สำหรับลาวและเมียนมายังไม่มีรายงานว่าสหรัฐฯ เรียกเก็บในอัตรานี้เนื่องจากสาเหตุใด แม้จะได้รับการปรับลดแล้วแต่ยังสูงมากอยู่ดี และสูงที่สุดในอาเซียนด้วยที่ 40% ทั้งนี้คาดว่าอาจเป็นเพราะลาวมีการส่งออกที่จำกัด และมีข้อตกลงร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานร่วมกับจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะที่เมียนมานั้น คาดว่าอาจเป็นผลพวงจากการเมืองภายในที่ปกครองแบบเผด็จการทหาร
ด้านบรูไนโดนเรียกเก็บเพิ่มจาก 24% เป็น 25% เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ และมาเลเซียนั้นเจรจาการค้าลดลงจาก 24% เหลือ 19% ส่วนสิงคโปร์ถูกเรียกเก็บในอัตราเดิมที่ 10% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุด แลกกับการให้สินค้าสหรัฐฯ เข้ามาขายในสิงคโปร์ได้โดยไม่ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษี
ขณะที่ไทย และกัมพูชา เพิ่งได้รับการประกาศในวันนี้ (1 ส.ค.) หลังทรัมป์ออกมาขู่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “หากไม่หยุดยิง จะไม่เจรจาการค้า” ซึ่งหลังจากนั้นทั้ง 2 ประเทศก็ตกลงหยุดยิงในวันที่ 28 ก.ค.โดยมีมาเลเซียช่วยเจรจาเดิมทีทั้งไทย และกัมพูชาโดนเรียกเก็บในอัตรา 36% และได้ปรับลดลงเหลือ 19%
กัมพูชาจะไม่ตอบโต้ภาษีสหรัฐฯ และซื้อโบอิ้ง 737 Max8 จำนวน 10 ลำสำหรับสายการบิน Air Cambodia ส่วนไทยจะซื้อโบอิ้ง 100 ลำ และซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) รวมถึงขยายตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพด, ถั่วเหลือง เป็นต้น ตลอดจนไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ หลายรายการ
ด้าน จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า “ข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทันที และทำให้ไทยสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาคอย่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ซึ่งเจรจากับสหรัฐฯ สำเร็จก่อนหน้านี้”
ภาษีในระดับใหม่นี้ครอบคลุมสินค้าหลายประเภทที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะในกลุ่มโลหะ เครื่องจักร และชิ้นส่วนอุตสาหกรรม ซึ่งล้วนมีมูลค่าส่งออกรวมต่อปีนับหมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ดี ไทยส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก และปีที่แล้วไทยส่งออกไปมากถึง 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2 ล้านล้านบาท) หรือประมาณ 1 ใน 5 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และนั่นทำให้ไทยติดอันดับ 10 ประเทศที่มี ‘ดุลการค้าเกินดุล’ กับสหรัฐฯ มากที่สุด
(Photo by Brendan SMIALOWSKI / AFP)